วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 


ปริศนาลับจักรวาล : มุมมองใหม่บนฟากฟ้า

-----------------------------------------------------------

            จักรวาลถือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์  ทุกยุคทุกสมัย  แม้ในปัจจุบันก็ตาม ก็ยังมีเรื่องราวที่เป็นข้อสงสัย   หรือเป็นปริศนามากมาย   ที่สร้างความยากรู้อยากเห็นในหมู่มนุษย์ เรื่อยมา

            แต่มนุษย์ ก็ยังไม่ยอมแพ้ ก็ยังพัฒนาเครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีคุณภาพมากขึ้น เป้าหมายก็คือ ไขปริศนา บนท้องฟ้า อันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นเอง  ปัจจุบัน มนุษย์มีวิธีการที่จะไขปริศนาความลึกลับ มากมายในเอกภพ อาจ จะเรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองยุคนี้ ที่มนุษย์เคยมี แห่งการค้นพบ ทางดาราศาสตร์ โดยกล้องโทรทรรศน์ ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ ที่ช่วยให้มนุษย์  สามารถเปิดประตูสู่ความรู้ของเอกภพ ที่ไม่รู้จบได้

ในสี่ศตวรรษที่ผ่านมา ในปี ค.ศ. 1609 มีชายผู้หนึ่ง กาลิเลโอ กาลิเลอี  เขา ยืนอยู่ที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง เขาตั้งกล้อง หันหน้ากล้องโทรทรรศน์ ที่สร้างขึ้นเอง ขึ้นบนท้องฟ้า เป้าหมายคือ ไปยังดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ อื่น ๆ ที่ระยิบระยับ เต็มท้องฟ้า  นั้นคือจุดเริ่มต้น ของการหาความลับจากฟากฟ้า

เมื่อมาถึงยุคนี้ ความรู้ทางดาราศาสตร์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากวันนั้นมาถึงวันนี้มนุษย์ ได้พัฒนามา เป็นเวลา 400 ปีแล้ว จากที่ กาลิเลโอ ได้สำรวจท้องฟ้า ด้วยกล้องโทรทรรศน์ เป็นครั้งแรก

 

            ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่  ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงหลายแห่ง ออกสำรวจสรวงสวรรค์ ดินแดนไม่รู้จบบนท้องฟ้า  มีกล้องโทรทรรศน์วิทยุ คอยตรวจจับคลื่น แม้จะแผ่วเบาแค่ เสียงกระซิบจากอวกาศ ก็ไม่รอดสายตาของมนุษย์

            นักวิทยาศาสตร์ยังสร้างกล้องโทรทรรศน์ ส่งขึ้นไปปฏิบัติงานในวงโคจรรอบโลก อยู่สูงขึ้นไปเพื่อหลีกหนีชั้นบรรยากาศ ที่รบกวน และข้อมูลที่ได้ พวกเขาได้ คือสุดยอดแห่งความรู้

            แท้จริงแล้ว กาลิเลโอ ไม่ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์เป็นคนแรก เรื่องนี้ต้องให้เกียรติกับ ฮันส์ ลิปเปอร์เฮย์ ช่างทำแว่นตาชาวดัตช์-เยอรมัน  แต่เขาไม่เคยใช้ส่องดูดาวบนฟ้าเลย เขามุ่งเน้นการใช้เป็นกล้องส่องทางไกลสำหรับการเดินเรือ และทหารเรือ เท่านั้น

            ลิปเปอร์ เฮย์ อยู่ในเมืองมิดเดิลเบิร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ของสาธารณรัฐดัตช์ในยุคนั้น

 

ในปี ค.ศ. 1608 ลิปเปอร์ เฮย์  เขายังได้พบว่า เมื่อเรามองวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ผ่านเลนส์นูน และเลนส์เว้า จะเห็นวัตถุ ว่ามีขนาดโตขึ้น ถ้าเลนส์ทั้งสองนั้น วางห่างกัน ในตำแหน่งที่เหมาะสม

            ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ.1608 ลิปเปอร์เฮย์ ได้สาธิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ แก่เจ้าชายมัวริตส์แห่งเนเธอร์แลนด์  สมัยนั้น เขายังไม่สามารถประยุกต์ให้มันใช้ประโยชน์ได้มากนัก เพราะตอนนั้นเกิดสงครามยาวนานถึง 80 ปีระหว่างเนเธอร์แลนด์กับสเปน

            กล้องสายลับหรือกล้องส่องทางไกลนี้ ทำให้เห็นเรือของข้าศึก และกองทหารที่อยู่ไกลๆ ได้ดีกว่าตาเปล่า แต่รัฐบาลของดัตช์ตอนนั้น ไม่ได้ช่วยสนับสนุนหรือมอบสิทธิบัตรให้แก่ ลิปเปอร์เฮย์ แต่อย่างใด เพราะมีนายทุนผู้มั่งคั่งต้องการแย่งผลงานนี้ไป โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญ ของเขาคือ ซาชาริแอส แจนส์เสน

            ดังนั้น ผู้คนในวงกว้าง จึงไม่ค่อยรับรู้ เรื่องสิ่งประดิษฐ์ เหล่านี้มากนัก แต่พอมาถึงวันนี้ จุดกำเนิดที่แท้จริงของกล้องโทรทรรศน์ก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

            นักดาราศาสตร์อิตาเลียน “กาลิเลโอ กาลิเลอี” บิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่ เมื่อรู้ข่าวเรื่องกล้องโทรทรรศน์ ก็นำหลักการ นั้นมาสร้าง เป็นกล้องของเขาเอง

            กาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น เขาสนับสนุนแนวคิดใหม่ ที่นำเสนอโดยนักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ชื่อ นิโคลาส โคเปอร์นิคัส ที่ว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลาง เมื่อได้ข่าวเรื่องกล้องของชาวดัตช์ เขาก็เลยสร้างกล้อง ตัวใหม่ขึ้นมา และมีประสิทธิภาพมากกว่าของเดิม

            เขาใช้กล้อง จนชำนาญ และคุ้นเคยกับ แดนสรวงสวรรค์มากขึ้น  เดือนมกราคม ค.ศ.1610 กาลิเลโอ ได้สังเกตดาวพฤหัสบดี ต่อเนื่องกันหลายคืน พบว่า ใกล้ ๆ  ดาวเคราะห์ดวงนี้มีจุดสว่าง 4 จุด ที่เปลี่ยนตำแหน่งไปตลอดเวลา ในแต่ละคืน เมื่อเทียบกับดาวพฤหัสบดี เป็นการเต้นรำในจักรวาลที่ดาวบริวารโคจรรอบ ดาวเคราะห์ดวงแม่  และจุดแสงเล็กๆ 4 จุดนี้ ต่อมาเรียกว่า ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ

            ต่อมา กาลิเลโอได้ค้นพบอะไรอีก เขาพบว่า ดาวศุกร์เป็นเสี้ยว คล้ายกับดวงจันทร์ ดาวศุกร์ก็มีข้างขึ้นข้างแรมเป็นวงรอบเหมือนกัน  ทั้งยังพบ อีกว่า ดาวเสาร์มีอะไรแปลกๆ ยื่นออกมา 2 ด้าน

            พบจุดที่อยู่บนผิวดวงอาทิตย์  ต่อมาเขาพบว่า ยังมีดาวฤกษ์อีกนับพัน หรือนับล้านดวง ที่มีแสงจางมาก ๆ จนเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า

            ผู้คนเริ่มตื่นเต้นมาก  เมื่อข่าวว่ามีกล้องวิเศษ  กล้องโทรทรรศน์แพร่สะพัดไปทั่วยุโรปดังไฟลามทุ่ง  ณ กรุงปราก ที่พระราชวังของจักรพรรดิ รูดอล์ฟ ที่ 2 ณ สถานที่แห่งนั้น โจฮันเนส เคปเลอร์ ก็กำลังเตรียมสร้างกล้องโทรทรรศน์

            มีนักเขียนแผนที่ชาวดัตช์ ชื่อ มิเชล แวน แลนเกรน ได้จัดทำแผนที่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรก แสดงพื้นที่ ออกมาแสดง และให้เหตุผลว่า เขาเชื่อว่า มีทวีปและมหาสมุทร อยู่ตรงนั้น

            และ โจฮันเนส เฮเวลิอุส มหาเศรษฐี ชาวโปแลนด์ ยังสร้างกล้องขนาดใหญ่ที่หอดูดาวในเมืองแดนซิก เป็นหอดูดาวขนาดใหญ่ ที่มีหลังคาคลุมถึง 3 ชั้น

            แต่กล้องโทรทรรศน์ที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น น่าจะเป็นของ คริสเตียน ฮอยเกนส์ ในเนเธอร์แลนด์

            ในปี ค.ศ. 1655 ฮอยเกนส์ ค้นพบ ไททัน ดวงจันทร์ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ และอีก 2-3 ปีต่อมา เขาก็พบว่าดาวเสาร์ มีระบบวงแหวนล้อมรอบ  ส่วน กาลิเลโอ  ก็คงเห็นมาก่อนแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเรื่องที่สำคัญคือ ฮอยเกนส์ ได้เห็นแถบมืด และสว่างที่ขั้วทั้งสอง ของดาวอังคาร สิ่งมีชีวิตต่างดาวจะอยู่ที่นี่ได้ หรือไม่ เป็นปริศนาที่ท้าทาย นักดาราศาสตร์ มาจนถึงทุกวันนี้

            กล้องโทรทรรศน์ในยุคแรกๆ เป็นแบบหักเหแสง ที่ใช้เลนส์เป็นตัวรวมแสงดาว ให้ผ่านเข้ามาในกล้อง  ต่อมาเปลี่ยนมา ใช้กระจกเว้าแทนเลนส์ ถือว่า เป็นกล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง สร้างขึ้นครั้งแรกโดย นิคโคโล ซุคชี และพัฒนาจนใช้งานได้โดย ไอแซก นิวตัน

            ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 มีกล้องโทรทรรศน์ใช้กระจกใหญ่ที่สุดในโลก สร้างโดย วิลเลียม เฮอร์สเชล นักดนตรีที่ผิกผันตัวเอง มาเป็นนักดาราศาสตร์ ทำงานร่วมกับน้องสาว ชื่อ คาโรไลน์

            การไขปริศนา บนท้องฟ้า  ครั้งนี้ ได้เริม ต้น ในบ้านของเขา เองที่เมือง บาธ ประเทศอังกฤษ  เฮอร์สเชล  เขาได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ มากกว่า 400 กล้อง มีกล้องขนาดใหญ่ที่สุด ต้องใช้คนช่วยกันตั้ง ถึง 4 คน จึงสำเร็จ  ต้องใช้เชือก ล้อและรอก เพื่อปรับกล้องให้เปลี่ยนทิศทาง ตามการเคลื่อนที่ของดาวบนฟ้า ซึ่งเกิดจากโลก หมุนรอบตัวเอง

            ตอนนี้ เฮอร์สเชล กลายเป็นนักสำรวจฟากฟ้า ผู้ชำนาญการไปแล้ว จากการเฝ้าตรวจสอบ ความเคลื่อนไหว สรวงสวรรค์เบื้องบน เขาจัดทำบัญชี เนบิวลา และดาวคู่ กันนับได้กว่า 100 แห่ง

            ต่อมา ปริศนาอีกข้อ ก็ได้เปิดเผย เขาได้พบว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกบนท้องฟ้า มีลักษณะเป็นจานแบน ๆ และเขาก็คำนวณการเคลื่อนที่ ของระบบสุริยะไป ในแผ่นจานนี้ โดยเปรียบเทียบการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ กับดาวเคราะห์

            และในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1781 เขาก็ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ คือ ดาวยูเรนัส จากวันนั้นผ่านมาอีกกว่า 200 ปี จึงมียานวอยเอเจอร์ 2 ของ NASA ได้นำภาพระยะใกล้มาให้ชมกันเป็นครั้งแรก

            ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ในชนบทของไอร์แลนด์ วิลเลียม พาร์สันส์  เอิร์ลแห่งรอสส์ที่ 3 สร้างกล้องขนาดใหญ่ที่สุด ในช่วงศตวรรษที่ 19  ใช้โลหะมาทำเป็นกระจกเว้า กว้าง 1.8 เมตร เป็นกล้องขนาดใหญ่มาก จนได้ชื่อว่า กล้องยักษ์ใหญ่ของพาร์สันส์

            เมื่อฟ้าประทานโอกาส ฟ้าไร้แสงจันทร์ เขาก็เข้าประจำที่ จ้องมองผ่านเลนส์ ด้วยตา เขาส่องสังเกตไปทั่วจักรวาล ไปที่เนบิวลาโอไรออน เป็นแหล่งฟูมฟักดาวฤกษ์ ที่เกิดใหม่ ไปดูความลึกลับของเนบิวลาปู มันคือซากของดาวระเบิด ซูเปอร์โนวา

            และน้ำวนนี้ เป็นเนบิวลาหรือไม่  ลอร์ดรอสส์ เป็นคนแรกที่บอกว่า มันคือกาแล็กซีรูปกังหันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเหมือนกับกาแล็กซีของเรา มีแถบมืดของฝุ่นสลับกับแสงสว่างของกลุ่มก๊าซ มีดาวฤกษ์นับพันล้านดวง และจะมีดาวเคราะห์คล้ายโลกอยู่ด้วย หรือไม่

            กล้องโทรทรรศน์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ  ที่สุด ในการสำรวจจักรวาล การค้นพบจักรวาลและท้องฟ้าทั้งหมดได้บันทึกไว้แล้ว แต่ความสงสัย ยังไม่จบ พวกเขาจะสำรวจกันอีกต่อไป นักดาราศาสตร์ ก็ยังมีการสำรวจแดนสวรรค์ อย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยต่อไป  ในการการไขปริศนา และไขความลับแห่งจักรวาลกันเชื่อว่ายังไม่มีวันจบสิ้น และจะยังมีการเฉลยความลับของท้องฟ้า และจักรวาลมาให้เราได้ทราบกันอีกครั้ง

----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น