วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

เทวทาสี โสเภณีเทพเจ้า




            ในสังคมมนุษย์ในโลกนี้ นับว่ามีเรื่องราวมากมาย ทั้งบางอย่างก็ลึกลับ พิศดาน ทั้งยังเป็นความลับ และยอมเปิดเผย นับสารพัดเรื่องราว  โดยเฉพาะดินแดนแห่งเทพเจ้า ดินแดนภารตะที่เรียกว่าอินเดียนั้น ล้วนแต่มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้ามากมาย ถ้าให้นับจำนวนเทพเจ้า และความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น ถือว่ามากที่สุดเท่าที่โลกใบนี้มีกันเลยทีเดียว

            เรื่องเทวทาสี โสเภณี แห่งเทพเจ้า นั้นก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นเรื่องประหลาด ของชาวโลกที่น้อย คนนักที่จะรู้จัก ว่า เทวทาสี   เทวทาสี อะไร  ถ้าจะเรียกในภาษาทั่วไป ในปัจจุบันก็อาจเรียกว่า โสเภณีทางศาสนา  หรือ บางที่ ก็เรียกโสเภณีของเทพเจ้า (prostitute of gods)

            ในพระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม ก็มีการกล่าวถึง  เทวทาส ที่หมายถึง โสเภณีเพศชาย และ "เทวทาสี" ซึ่งหมายถึง เพศหญิง  ไว้ให้เราทราบ ความประหลาดเช่นกันว่า  หากเราย้อนหลังกลับไปได้ถึงราว 3,000 กว่าปี

            ว่า "..ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใด เป็นเทวทาสี อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส  และถ้าเป็น ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี หรือค่าจ้างจากหมา มาในวิหารของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน เพื่อ เป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน" หมายความว่า พระเจ้า ไม่ยอมรับ การเป็นเทวทาสี และเทวทาส นี้ ซึ่งข้อความโบราณนี้ ได้บันทึกไว้ ในคัมภีร์ ที่ชื่อว่า เฉลยธรรมบัญญัติ  

            คำว่า เทวทาส และ เทวทาสี หรือจะเรียกว่า ทาสของเทพเจ้าที่มี ทั้งเพศชาย และเพศหญิง ก็ได้ หมายถึง ชายหรือหญิง ผู้ให้การร่วมประเวณีในพิธีศาสนาแก่ผู้มาทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า แต่พิธีบวงสรวงเทพเจ้า นี้ส่วนใหญ่จะเป็นหญิง มากกว่าเพศชาย  ธรรมเนียมในเรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก ในความเชื่อโบราณนั้น เชื่อว่า การที่คนจะมาบวงสรวงบูชาเทพเจ้า หรือจะขออะไรจากเทพเจ้านั้น ต้องทำให้เทพเจ้าพอใจ หรือสนใจมาดู จึงจะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งวิธีการ หรือพิธีบวงสรวงเทพเจ้า นั้นก็มีหลายแบบ ด้วยกนในยุคนั้น

            พิธีกรรมนั้น ปกติทั่วไป คือใช้การเซ่นไหว้ด้วยอาหาร หรือเผาสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องหอมให้เป็นควัน ลอยขึ้นไปให้เทพเจ้าได้รับรู้  นอกจากนั้นส่งที่ ทำควบคู่กันไปก็คือ ใช้การร่ายรำ โดยอิสตรีที่สวยงาม และมักต้องใช้หญิงสาว พรหมจารีย์ด้วย เพราะมักจะเชื่อกันว่าเทพเจ้าก็คงชอบอะไรแบบนั้น

            แต่ถ้าอยากให้ เทพเจ้าพอใจ และพิธีขลังขึ้นอีก จึงมีผู้คิดเอาใจเทพเจ้า แบบพิลึก คือ ใช้การร่วมเพศกับเทวทาส หรือเทวทาสีนี่เอง นี่คือที่มาของเรื่องประหลาดนี้ เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้ จะเรียกร้องความสนใจจากเทพเจ้าให้อยากก้มลง มาดูมากขึ้น มนุษย์มนุษย์ ผู้คิดเรื่องนี้ เข้าใจว่าคงเป็นเช่นนั้น เมื่อเทพเจ้าก้มลงมามองดู จะขออะไรก็จะได้ดังประสงค์ นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นอีก เช่น อาจใช้ความรุนแรง อย่างการเชือดเนื้อกรีดเลือด และมีทั้งการใช้สัตว์บูชายัญ แต่ถ้าจะให้ขลังขึ้นก็ต้องเป็นเชือดเนื้อกรีดเลือดมนุษย์

            รายละเอียด ในพระคัมภีร์ตอนที่ว่านี้ คงเขียนขึ้นมานานมาก นับว่าหลายพันปีแล้ว ระบุให้ชัดก็คือเขียนไว้ใน สมัยวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียโบราณ  เราอาจย้อนไปไกลถึงสามพันปี ก่อนคริสตศักราช นั้นแสดงว่าธรรมเนียมปฏิบัติ แบบนี้

             เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกันแล้ว  ต่อมาก็ได้ค้นพบว่า มีในหลายวัฒนธรรม หลายศาสนาในหลายดินแดนของโลกด้วย ตั้งแต่ศาสนา เทพเจ้าโบราณในเมโสเปเตเมีย ศาสนาเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนมาถึงศาสนาฮินดู ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตายไปหรือสูญหายไปหมดแล้ว เนื่องจากอิทธิพลของศาสนายิวและคริสต์ มีผลต่อการดับสูญ ของวัฒนธรรมประเพณีอย่างมาก

            แต่นับว่า เหลือเชื่อว่า ธรรมเนียม เรื่องนี้ยังมีคนเชื่อ และปฏิบัติอยู่ในศาสนาฮินดู บางกลุ่มในประเทศอินเดีย แม้จนทุกวันนี้  อาจารย์อุเทน วงศ์สถิตย์ ที่เคยเป็น นักศึกษาระดับปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยปูเน่ ประเทศอินเดีย ก็ได้เคย อธิบายถึงความเป็นมา ของเรื่องเทวทาสี ในศาสนาฮินดู ซึ่งก็สามารถช่วยให้เห็นถึงพัฒนาการแนวคิดเรื่องเทวทาสีในศาสนาโบราณอื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกัน

            อาจารย์บอกว่า เรื่องเทวทาสี ของฮินดู นั้น เริ่มจากความเลื่อมใสศรัทธาต่อเทพเจ้า กลัวว่าเทพท่านจะเหงา ก็เลยจัดหาความบันเทิงให้เทพเจ้า แรกๆ ก็คือการร่ายรำ หน้าที่ของเทวทาสียุคเริ่มแรกคือ รำถวายเทพเจ้า ว่าไปก็คงเหมือนละครแก้บน พระพรหมของไทย ที่แยกราชประสงค์ นั่นเอง

            ต่อมา เมื่อผู้มีอำนาจวาสนา มีทรัพย์ หรือคหบดี มีฐานะอย่างพระราชา มีศรัทธามากขึ้น จึงซื้อทาสถวายเทพเจ้า จึงให้มีหน้าที่ รำถวายประจำที่เทวสถาน ซึ่งก็คงเป็นทาสสตรี เป็นหลัก ยิ่งในรายของกษัตริย์ที่มีอำนาจมาก ก็จะถวายเทวทาสีให้เป็นจำนวนมาก เช่น บางองค์ถวายเทวทาสีคราวละนับ 100 คน ซึ่งก็ทำให้ บางวัดมีเทวทาสีนับพันคนหรือหลายพันคน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื่อกันว่า วัดก็คือวังของเทพเจ้า ต้องมีนางทาสีมาก ๆ ไว้คอยรับใช้

            ด้วยแรงศรัทธาในเรื่องนี้ แม้แต่พระราชาบางคน ถึงขนาดถวาย พระธิดาของตนเป็นเทวทาสีก็ยังเคยมี ในธรรมเนียมของกรีก ว่าเคยกษัตริย์ ได้ถวาย พระธิดาเป็นเทวทาสี ในเทวสถาน เช่นกัน

 

            ดังนั้น สมัยในก่อน เทวทาสี จึงเป็นหน้าที่ที่สูงส่ง มีหน้าที่เล่าเรียนการร่ายรำในท่าต่าง ๆ ระบำอินเดีย  ความเชื่อในเรื่องนี้ ปัจจุบัน ก็สืบทอดกันทางเทวทาสีพวกนี้  แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ความรุ่งเรือง ก็มักคู่กับความร่วงโรย เมื่อวัดใหญ่มีเทวทาสีได้มาก เพราะว่าได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์

            แต่เมื่อเกิดสงคราม กษัตริย์หมดงบประมาณ ที่จะอุดหนุน บำรุงรักษา จึงทำให้ บรรดาเทวทาสี เริ่มลำบากในการใช้ชีวิต ก็เลยจำเป็น ต้องจัดบริการเสริมเพื่อหารายได้เลี้ยงตัว โดยเริ่มจากเมื่อบางคนมาเห็นนางร่ายรำแล้วเกิดอารมณ์ จึงเกิดการเจรจาและตกลงกันได้ด้วยการจ่ายเป็นเงิน ด้วยเหตุนี้การร่ายรำในสมัยหลัง ๆ ของเหล่าเทวทาสี จึงมีการเพิ่มท่าทางที่ยั่วยวนเข้าไป เพื่อหาลูกค้า ขึ้นมาด้วย

            ต่อมาจากปัญหา ประเพณีของอินเดีย ที่ผู้หญิงต้องขอผู้ชาย เหตุเพราะถ้าหญิงไม่แต่งงาน ก็จะไม่ได้รับเกียรติ ในสังคม  เรื่องนี้จึงเข้าทาง พวกคนบาป จึงมีพวกหัวใส ผลักภาระลูกสาวของตนถวายเป็นเทวทาสี เพื่อให้แต่งกับเทพเจ้า การกระทำเช่นนี้ถือกันว่าพวกนางมีเกียรติ และไม่มีวันเป็นม่าย เพราะนางแต่งงานกับเทพเจ้าเพียงสามีเดียว แม้จะนอนกับผู้ชายทั้งหมู่บ้านก็ตาม ดังนั้น สถานที่ให้บริการของเหล่าเทวทาสีทั้งหลายนั้น ก็จะอยู่ในเทวสถานหรือบริเวณใกล้ ๆ กับเทวสถาน นั้นเอง

            นอกจากนั้น แม้ว่า เทวทาสีจะยังถูกผู้คนมองว่า เป็นโสเภณีประเภทหนึ่ง แต่ก็เป็นโสเภณีที่ดูจะมีศักดิ์ศรี มากกว่าโสเภณีธรรมดา การให้ความเคารพต่อเทวทาสีของคนทั่วไป ก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เช่น เทวทาสี ก็ไม่ต้องแต่งตัว วาบหวิว เหมือนโสเภณีทั่วไป ทั้งบางแห่ง เทวทาสีของเจ้าแม่บางองค์นั้น ในบางเทศกาล ก็จะมีการบูชาพวกนาง ด้วย

            ประหนึ่งว่า เหมือนอวตารของเทวีเลยทีเดียว แล้วถ้าควาย ของพวกชาวบ้านออกลูก พวกเขาก็จะเอานมควายที่ได้ครั้งแรก หลังจากการออกลูกมาให้เทวทาสีดื่ม เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าแม่ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเทศกาลไหว้เจ้าแม่บางองค์ ชาวบ้านก็จะพากันซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่เลิศหรู มาถวายเทวทาสี และเมื่อถวายเสร็จชาวบ้านจะเอามือมาแตะที่เท้าเทวทาสี เพื่อแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ในฐานะลูกสาวของเจ้าแม่

            นอกจากนั้น เวลามีเด็กเกิดใหม่ในหมู่บ้าน เธอจะได้รับเชิญไปประกอบพิธีกรรม ชาวบ้านจะขอส่าหรีเก่าๆ ไปทำเปลเด็ก เพื่อได้รับการคุ้มครองจากเจ้าแม่ เวลามีงานแต่ง ชาวบ้านก็จะเชิญเทวทาสีไปประกอบพิธีสวมสร้อยแต่งงานให้ เพื่อจะได้มีอายุยืนยาว และไม่เป็นม่าย

            แม้ได้รับการยกย่อง เพียงใดในสังคมนั้น ฐานะของเทวทาสี ก็ยังนับว่าลำบากเช่นเดิม เพราะไม่ได้เป็นอาชีพที่ร่ำรวย ทั้งเมื่ออายุมากขึ้น รูปร่าง หน้าตาเริ่ม เหี่ยวย่น หรือไม่สวย แล้ว คนทั่วก็จะไม่ค่อยมาใช้บริการ แต่ถ้าจะเลิกก็ไม่รู้ จะไปทำมาหากินอะไร  เพราะยังมีภาระ ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงพ่อแม่ ทั้งยังรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ต้องรับใช้เทพเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ด้วย

            ทั้ง ในยุคนี้ อินเดียมีกฎหมายห้ามถวายเทวทาสี ให้กับเทวสถาน แต่ก็ยังมีการแอบปฏิบัติกัน ทำให้ปัจจุบันนี้ ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเทวสถานใหญ่ ๆ และอยู่ห่างไกลออกไปในเขตชนบท ซึ่งทางอินเดียตอนใต้ และยังพบเป็นหลายหมื่นคน

            หากมองในทางสังคมวิทยา เทวทาสี หรือโสเภณีของเทพเจ้านี้ ไม่ได้เกิดจากความศรัทธาทางศาสนาเท่านั้น แต่เป็นผลมาจากปัญหาทางวัฒนธรรม  และสังคม ในเรื่องการแต่งงาน การมีลูกผู้หญิง และปัญหาความยากจน อีกด้วย  ปัญหาในสังคมอินเดียในเรื่องนี้ ก็ยังคงอยู่ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด จากผู้นำสังคม และผู้นำประเทศ

            เพราะปัญหานั้นเกิดจากความเชื่อ ที่ล้าหลัง ไร้เหตุผลที่เป็นไปได้จริง ยังฝังรากลึกมาก ยากแก่การแก้ไขของมนุษย์ ชาวอรยัน ดังนั้น ความหวังของชาวภารตะ ก็คงต้องปล่อยไว้ และรอ ให้เป็นหน้าที่ของเทพเจ้าทั้งหลาย ชาวฮินดู  ที่อยู่บนวิหาร บนวิมาร ท่านจะลงเพื่อร่วมแรง ร่วมใจกัน แก้ไขให้กระมัง ชาวฮินดูก็ต้องร้องเพลงรอกันต่อไป

---------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น