วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 

กำเนิดพระคาถาชินบัญชร # ท้าวมหาพรหม ชินะปัญชะระ

            ชะยา สะนา กะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวา หะนัง  จะตุ สัจจา สะภัง  ระสัง เย

ปิวิงสุ นะราสะภา  พระคาถาบทนี้ ชาวพุทธ ต่างก็เข้าใจกันดี ว่า เป็นพระคาถา บทเริ่มต้น ของพระคาถาชินบัญชร  อันทรงคุณวิเศษ ถือว่าเข้มขลัง อันดับต้น ๆ  ของสมเด็จโต พรหมรังสี แห่งต้นยุครัตนโกสินทร์

กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ศรัทธา และผู้สนใจเรื่องราว ของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และคณะพระเหนือโลก  แห่งโลกเทพอุดร  ดังนั้น เรื่องราวที่จะนำเสนอ ทั้งรายชื่อของเกจิต่างๆ  ที่กล่าวถึงนั้นนั้น ท่านล้วนอยู่ในกลุ่มของพระเกจิ ที่เราเรียกกันโดยรวมว่า คณะพระเหนือโลก จึงขอนำเรื่องราวให้ ได้ฟังกัน  เนื้อความนั้น ก็ได้จากการเล่าต่อกันมาของเกจิ เพราะท่านก็ไม่ใช่นักเขียน จึงเรียบเรียงเนื้อหา อาจไม่ราบเลื่อนนัก อาจจะกระโดด กระเดียดไปมา ผู้นำเสนอ ก็ไม่กล้าที่จะต่อเติม เพราะเราไม่รู้จริง จะสร้างบาปโดย ไม่รู้ตัว

กล่าวกันว่า หลวงปู่สิงขรท่าน ได้ให้ความเคารพนับถือ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เป็นอย่างมาก หลวงปู่สิงขร ท่านเป็นอรหันต์ ผู้สำเร็จ อภิญญาสมาบัติขั้นสูง ว่ากันว่า..ท่านเป็นร่างที่นิรมานกาย มาจาก องค์ท้าวมหาพรหมชินะ ปัญชะระ ผู้เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น

            ท่านท้าวมหาพรหมชินะ ปัญชะระ  หรือท้าวกุมารพรหม ท่านเป็นผู้มีรูปกายที่งดงามยิ่ง สว่างด้วยรัศมีเหนือกว่าพลังพรหมองค์ ใด ๆ  ท่านมีพระสุรเสียงไพเราะ ดังกังวาน เวลาเสด็จไปในสถานที่แห่งใด เหล่าทวยเทพ และพรหมทั้งหลาย จะทราบทันทีว่า เป็นองค์ ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ เนื่องด้วยว่าทรงมีรัศมี ส่องแสงสว่างไสว มีฉัพรังสีเปล่งประกายไปไกล เกินกว่าเทพ พรหมองค์ใด ๆ จะกระทำได้

            ส่วน ประวัติท้าวมหาพรหม ชินะ ปัญชะระ นั้น ในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านเป็นสามเณรรูปงาม อายุ ๗ ขวบ เป็นลูกศิษย์ของท่าน พระโมคคัลลานะ เถระเจ้า ท่านบรรลุอรหันต์ สำเร็จอภิญญาสมาบัติ ตั้งแต่เป็นสามเณร ท่านเป็นสามเณรที่มีรูปกาย ร่างสง่างาม ผิวพรรณเปล่ง ประกาย สดใส ละเอียด ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง รูปกาย สังขารอันงดงาม ของท่าน ใช่ว่าจะดี มันสร้างความปั่นป่วนในจิต ของสตรียิ่งนัก ทั้งยังเป็นอุปสรรค ต่อการประพฤติพรหมจรรย์  ของท่าน

            ยิ่งท่านเจริญวัย ยิ่งงดงามมากขึ้น จนมีสตรีแอบหลงรักท่าน มากมาย มีสตรีหลายนาง อดใจไว้ ไม่ได้ จึงวิ่งเข้ามากอด ด้วยแรงของกิเลส ตัณหา หลายต่อ หลายครั้ง  จนทำให้สามเณรอรหันต์ น้อยเบื่อหน่ายในกาย สังขาร ของตน  ในที่สุด จึงตัดสินใจ ถอดกายทิพย์ออกจากร่าง ทิ้งสังขารไว้เมื่อยังไม่ถึงกาล เมื่อท่านอายุเพียง 23 ปี 6 เดือน โดยยังไม่ถึงกาลอายุขัย หมายความว่า ยังไม่ครบอายุขัย จะเข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น ด้วยเหตุนี้  ท่านจึงได้มาบังเกิดบนชั้นพรหมโลก มีนามว่าท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ

            เกจิ ท่านผู้มีตาทิพย์ นั้นเมตตา เล่าให้ฟังว่า ท่าน ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะ ท่านอยู่ในชั้นพรหมที่๑๓ เป็นหัวหน้ารูปพรหม 16 ท่าน  ทั้งยังเชื่อว่า ท่าน เป็นอาจารย์หลวงปู่โต พรหมรังสีอีกด้วย

             ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะ ท่านเป็นเจ้าพิธีกรรม ในโลกทิพย์ ในชั้นพรหม  ส่วน ในพรหมโลก นั้นจะมีพระพรหม ที่เป็นใหญ่ อยู่ ๔ องค์ คือ


1. ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ  2.ท้าวอัปรา พรหม  3.ท้าวจตุร พรหม และ ท้าวมหาพรหม สามภพ

            ส่วน พระพรหมชินนะ เป็นพรหมที่ไม่ขึ้นตรงต่อพรหมโลก เรียกว่า “พรหมเอกเทศ”  ท่านมีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า  พาหนะประจำตำแหน่งของท่าน  เท้าขวาเหยียบเต่า ท้ายซ้ายเหยียบพญานาค

             ซึ่งพาหนะ ของท่าน องค์พระพรหมชินนะ ที่เป็นเต่า กับพญานาค ในตอนนี้ นั้น  คือวิญญาณทิพย์ ที่กำลัง สร้างบารมี  และจะรอมาเกิดเป็นสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ในอนาคตข้างหน้า  ส่วนพระองค์พระพรหมชินนะ พระวรกาย ของท่าน มีแสงสว่างมาก ดุจดั่งพระอาทิตย์ ตอนเที่ยงวัน จิตใจงามเหมือนพระจันทร์  คิ้วโก่งโค้งเหมือนคันศร นัยน์ตางาม และคมเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดอ่อน เหมือนหยกขาว ผมเกล้าจุกขมวดไว้บนพระเศียร เศียรมีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทอง ปักหมั่นคงงดงาม

            พระพรหมชินะ นั้น ท่านจะไม่แปลงกายตน แห่งกายทิพย์ของตนให้ เป็นแปดหน้าสี่กร เหมือนพรหมาทั่วไป เพราะ มีรังสีแห่งวรกายของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ เพียงแต่เปล่งรัศมีแผ่ไป กายนั้นเปล่งรัศมีรอบวรกายเป็นพระอาทิตย์ สีขาวสุกใส

             ในสภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าพระพรหมองค์นี้ ไปแห่งไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่มีรัศมี ๕๐๐ เส้น เทพพรหม  ทั้งหลายท่านจะรู้ว่าท้าวมหาพรหมชินนะมา

            การแต่งตัวของท้าวมหาพรหมชินนะ แต่งแบบครึ่งกึ่งพระ กึ่งพรหม คือ ทั้งชุดที่นุ่งนั้น เป็นสีขาวบริสุทธิ์ พระวรกายก็เป็นสี ขาวแบบนวล อัตรากำลัง เปล่งรัศมี ส่องไปไกลถึง ๕๐๐ เส้น

            ส่วน มือขวาถือ คทา  คทา เรียกว่า “คฑาพรหม” ซึ่งเป็นจามจุรีทิพย์ หัวคทามีแสงพุ่งออกมาเป็นประกาย รัศมีเป็นรุ้ง ๓ สี วิมาน ท่านอยู่พรหมโลกชั้นที่ ๑๓ วิมานนั้นเนรมิตสร้างขึ้นด้วยแก้วมรกต พื้นวิมานปูด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยรอบ หลังคามุงด้วยเพชร ท่านบรรทมด้วยสิงห์ ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีบริวาร

จุดกำเนิดพระคาถาชินบัญชร

             เรื่องราวนี้  ได้เรียบเรียง  ขึ้น โดยคุณปัญญา นี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ พระคาถาชินบัญชร อีกที เพื่อขยายความ เพิ่มศรัทธา ในจิตพุทธศาสนิกชน เพื่อสร้างแรงบุญ เผยแพร่คุณธรรมความดี ต่ออายุพระศาสนา ตามเส้นทาง แห่งองค์พุทธะ ที่กำหนดไว้แล้ว ว่า

            เมื่อครั้งนั้น สมเด็จ (โต) ได้มีโอกาสเดินทางไปยัง จังหวัดกำแพงเพชร ท่านได้เดินทางไปที่วัดเก่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกรุโบราณ  . วัด ในสถานที่แห่งนั้น ท่านได้พบคัมภีร์โบราณผูกหนึ่ง หมายความว่า เป็นคัมภีร์ ที่ผูกไว้ติดกัน คัมภีร์นี้ ได้ฝังไว้อยู่ใต้ฐานเจดีย์หัก สมเด็จโต จึงนำคัมภีร์ผูกนั้นมาเก็บไว้ที่กุฏิ ต่อมาอีกหลายปี  สมเด็จโต พรหมรังสี ท่านมีจิตดำริที่จะสร้างพระเครื่อง ขึ้นมา หวังเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ แห่งความเลื่อมใส  ทั้งผูกมัดจิตใจ ให้ชาวพุทธ เพิ่มศรัทธา ต่อพุทธศาสนา  

            ทั้งยังมีเป้าหมาย เพื่อมอบให้แก่พระเจ้าปิยะ หมายถึงรัชกาลที่  5 หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นสมบัติ ในสมัยครองราชย์ ของพระองค์

            ระหว่างท่าน คิดจิตกังวล อยู่นั้น ด้วยความอ่อนล้า สมเด็จ (โต) ท่านก็ได้จำวัด แล้วหลับไป ในยามวิกาล คืนนั้น  ประมาณตี 3 สมเด็จ (โต) ได้นิมิตว่า ท่านได้ตื่นขึ้นมา เห็นชายหนุ่มรูปงาม รูปหนึ่งมายืนอยู่ที่หัวนอนในชุด นุ่งขาว ห่มขาว มีรูปลักษณ์งดงาม หาที่เปรียบไม่ได้เลย สมเด็จ(โต) ท่านก็มองขึ้นตามกำหนดของจิต ทราบว่าหนุ่มรูปงามนี้ คงจะไม่ใช่มนุษย์ อย่างแน่นอน

            สมเด็จ (โต) จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ การที่อาตมาได้มีโอกาสชมท่าน นับว่าเป็นขวัญตาเหลือเกิน ท่านมาในสถานที่แห่งนี้ มีสิ่งใดที่อาตมาปฏิบัติผิดพลาด ในหลักพระพุทธศาสนาเล่า  ขอให้ท่านจงประสาท ประทานการสอนให้อาตมาด้วย  จะได้แจ่มแจ้งในพระธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเถิด"

            ชายหนุ่มผู้นั้น จึงกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่เย็น ดังกังวาน ท่านโต วิธีการที่ท่านดำเนินงานอยู่นี้คล้ายกับองค์สมณะโคดมอยู่ แต่การที่ท่านคิดจะสร้างพระ ให้เป็นสิ่งที่ระลึกของหมู่มนุษย์นั้น ถ้าสร้างแล้ว สิ่งนั้นจะต้องดี ท่านโตเชื่อ ในเรื่องวิญญาณ เพราะฉะนั้น ควรจะปฏิบัติตามกฎ ของโลกวิญญาณ คือวิธีการพิธีกรรม ต้องเตรียม ต้องตั้งให้ถูกต้อง ตามหลักการในการปลุกเสก

            สมเด็จ(โต) ท่านจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขรัวโตนี้รับฟังความคิดเห็น ของทุกคน หากแม้นท่านโปรดข้านี้ ขอได้โปรดบอกมาเถิด จะด่าว่าตักเตือนเราก็ไม่ว่า"  หนุ่มรูปงาม ผู้มีความสงบ สำรวม  มองดูเป็นที่น่าเลื่อมใส ยิ่งนัก

            การต่อมา ท่าน จึงได้แนะวิธีการ ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดการพิธีกรรม ในการปลุกเสกพระสมเด็จ นั้น  เช่นท่านแนะนำ ในเรื่องทิศทางว่าทิศใด เป็นทิศมงคล  การวางเครื่องสักการะ  เทียน ธูป ดอกไม้ เทียนชัย ให้ตรงตามหลักของกฎระเบียบ แห่งโลกวิญญาณ เรียกว่าเทวบัญญัติ หรือพรหมบัญญัติ นั้นเอง

            ระหว่างนั้นสมเด็จ (โต) ยังคุมสติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ จึงได้ถามหนุ่มรูปงามนั้นว่า "ท่านผู้รูปงามท่านนี้ มีนามว่ากระไรหรอ 

            ท่านตอบว่า  หม่อมฉันนี้คือลูกศิษย์องค์พระโมคคัลลานะ หม่อมฉันสำเร็จเป็นอรหันต์เมื่ออายุ 7 ขวบ แต่ด้วยทิ้งสังขารก่อนอายุขัย จึงมิได้เข้าสู่แดนอรหันต์ คงยังอยู่ในแดนพรหมโลก เพราะหม่อมฉันไม่พอใจสตรี ไม่ชอบสตรี ที่มารุกรานในครั้งนั้น

            เพราะสตรี เหล่านั้น ชอบมาทำลายพรหมจรรย์ ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงตัดสินใจ ทิ้ง กาย สังขารก่อนครบอายุขัย ทางโลกวิญญาณถือว่าสิ้นชีวิตก่อนอายุขัย ที่ไม่เป็นไปตามกฎแห่งโลกทิพย์ หม่อมฉันจึงได้ไปจุติ ในแดนพรหม ทรงอยู่ในรูปพรหม

            ถ้าท่านโต ต้องการปรึกษาจากหม่อมฉัน ก็จงระลึกถึง "ชินนะ บัญชะระ" มานพหนุ่มรูปงามกล่าวต่อหน้าสมเด็จ (โต) อย่างสำรวม

ต่อมาไม่ว่าสมเด็จ (โต) จะทำงานสิ่งใด จึงมักระลึกถึง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญจะระ ทุกครั้ง ท่านก็ปรากฏร่าง นั้นทันที  ท่านมาช่วยเหลือสมเด็จ (โต) ประกอบพิธีต่างๆ จึงทำให้เครื่องรางของขลังของสมเด็จ (โต) มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ดังที่เราและท่านได้ประจักษ์ กันทุกวันนี้

            สมเด็จ (โต) ท่านปลุกเสก พระสมเด็จ รุ่นสุดท้ายมากถึง 84,000 องค์ ส่วนข้อมูลจำนวนพระเครื่อง สมเด็จ  อาจจะมีความเข้าใจไม่ตรงกัน  แต่ความจริงก็คงไม่มีใครรู้จริง ท่านว่ามา เราก็ว่าไปคงไม่เสียหายอะไร ก็โปรดใช้วิจารณญาณ  ตามจิตที่ดีงามเถิด อย่าเตลิดระรานกัน แค่นี้ก็ลำบากมากโข โงหัวกันแย่ทุกตัวตนอยู่แล้ว

            พระเครื่อง รุ่นสุดท้าย ที่กล่าวกันว่ามากถึง 84,000 องค์ นั้น เรียกว่าสมเด็จอิทธิเจ ครั้งนั้นท่านได้ ใช้พระคาถา  มาปลุกเสก  โดยท่านได้แปลคาถาจากคัมภีร์ ซึ่งท่านพบ  ที่ได้จากกรุวัดที่กำแพงเพชร

            ซึ่งคัมภีร์นั้น เขียนด้วยภาษาสิงหล ซึ่งก็แปลได้ไม่สะดวกนัก จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่จำได้ว่า เป็นรายชื่อ ของพระอรหันต์แปดสิบองค์

            ดังนั้น  สมเด็จโต ท่านจึงได้ เพิ่มเติม แก้ไข  เพื่อง่ายต่อการจำ ทั้งยังสวดง่าย จึงได้แปล เรียบใหม่ได้ความว่า "เป็น พระคาถาชินบัญชร" ซึ่งตรง นี้นั้นจึงตรงกับชื่อท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ

            ซึ่ง สมเด็จ (โต) ท่านจึงถือ ว่า พระคาถาบทนี้เป็นการเทิดทูน ท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ ที่ท่านได้เมตตา ช่วยเหลือ กิจการอันเป็นมงคล ตลอดมา นอกจากเป็นพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ ท่องปลุกเสกเพื่อ เข้มขลัง พลังแรง เพิ่มศิริมงคลแล้ว พระคาถาบทนี้ ยังเป็น ต้นแบบ เป็นบทสวดในการนั่งปลุกเสกพระอิทธิเจ  พระเครื่องสมเด็จทุกรุ่น  และ พระเครื่องสมเด็จ รุ่นสุดท้าย ซึ่งสมเด็จ (โต) ท่านนั่งปลุกเสกอยู่พรรษา เพียงองค์เดียวอีกด้วย

             นับว่าพระเครื่องสมเด็จ เป็นสุดยอด ของพระเครื่องที่นักสะสมใฝ่ฝัน สุดยอดของความปรารถนา อยากได้มา ครอบครอง ของใครหลายล้านคน พระเครื่องสมเด็จโต ทุกรุ่น ต่างก็มีผู้ใฝ่ฝันอยากได้มาไว้ครอบครองกันมากที่สุด ในชาตินี้ก็คงไม่ผิด หรือว่าท่านผู้ฟังไม่อยากได้

งั้นถ้าพบก็โทรมาบอกกันด้วย  ความขลัง ความดัง ทั้งราคาที่หามาบูชา ต่างก็แพงแสนแพง ล้านแพง ราคาสูง สุดจะประมาณ คำนี้คงไม่ได้เวิร์ กันจริง

แม้ในยุคที่สมเด็จโต ยังมีชีวิตอยู่ ตราบจนมาถึงปัจจุบัน ความนิยม  ความต้องการ พระเครื่องรุ่นยังแรงข้ามปี เรียกแรงข้ามทศวรรษ กันเลยที่เดียว ที่ไม่ใช่สองที่ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แต่ยังเชื่อกันว่า การที่ใครจะได้ครอบครองพระเครื่องสมเด็จนี้ นอกจากจะมีเงินถึงอย่างมหาศาล แล้ว ยัง ยังไม่พอ ยังต้องมีบุญบารมีที่สร้างสมมาดีแล้ว เพื่อให้คู่ควรกับ กระแสบารมีของสมเด็จโต และความเมตตาของ ท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ ที่ท่าน จะเมตตา พุทธศาสนิกชน ในยุคนี้อีกด้วย

----------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 


#มิติโลกมนุษย์ #สู่มิติสวรรค์ DIMENSION

            ในปัจจุบันมีการกล่าวถึง  มิติที่ 5  กันอยู่บ่อยครั้ง หลายท่านที่กำลัง งง  งง กับคำว่ามิตินี้ คำว่า มิติ หรือ Dimension มีความหมาย อย่างง่าย ๆ ว่า การวัดระยะจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง หมายความว่า ซึ่งตามธรรมชาติ ที่เป็นมาแล้วนั้น วัตถุในโลก และจักรวาล รวมถึงดาวดาวทุกดวง ที่เรารู้และไม่รู้ก็ตามจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนกันที่เราเรียกว่า เป็นมิติ เป็นการเทียบ ที่วัดระยะจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง  ที่กล่าวมาข้างต้น

            และในความหมาย ของคำว่า มิติ นั้นอาจจะเข้าใจยากกัน  จึงขอยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ  มิติเหมือนกับเรา มีวัตถุ สิ่งหนึ่ง มีก้อนหนึ่งคล้ายจุด  นี้คือ มิติที่หนึ่ง เริ่มจากการเป็นจุด  ส่วน มิติต่อมา คือมิติที่สอง จะยาวออกมาอีกข้าง และมิติที่สาม จะยาวออกมาอีก ข้างหนึ่ง ไปเรื่อย จนวัตถุนั้น เป็นรูปร่าสมบูรณ์ มองเห็นได้รอบด้าน มองเห็นได้ทุกมุมของวัตถุนั้นเอง  ที่เรารียกกันว่า สามดี หรือ สี่ดี นั้นเอง

            ในความหมายของคำว่ามิติ  นี้ นักวิทยาศาสตร์ ทางด้านฟิสิกส์ ได้แนะนำไว้ว่า มีด้วยกันถึง 10 มิติ  ส่วนมิติที่หนึ่ง ถึงมิติที่สามนั้น  มนุษย์ได้ผ่ามาแล้ว  ปัจจุบัน กล่าวกันว่าเรากำลังอยู่ในมิติที่สี่ และกำลังจะกล่าวข้ามไปสู่มิติที่ ห้า ที่กล่าวถึงกันมากตอนนี้ และกำลัง งง งง กันอยู่ตรง นี้ หวังว่าท่านที่ตามไม่ทันก็คงจะพอเข้าใจกันขึ้นมาแล้วบ้างในคำว่ามิติ

การจะเข้าใจมิติที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วก่อนครับ

            มิติแรก เรียกว่า มิติที่ 0 : คือ จุด  เป็นมิติเริ่มต้น ของการเกิดสรรพสิ่ง หมายความว่าเป็นจุด คือคือสรรพสิ่ง เป็นแค่จุด หรือศูนย์ ไม่มีระยะ ใด ๆ   ต่อมาโลกเริ่ม ขยายมาสู่ มิติที่หนึ่ง   มิติที่ 1: หมายถึง เส้น ถ้าเทียบได้ ก็จากจุดหนึ่งไป ยังอีกจุดหนึ่ง  หมายความว่าวัตถุจะขยายขนาด จากจุดมาเป็นเส้น

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 2 : มิติที่ 2  หมายถึง บนโลกจะเริ่ม เกิดวัตถุ แบบเป็นเส้นสองเส้น (นึกถึงรูปตัว Y) (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่มีตัวเลือก 2 ทาง) หรือ นึกถึงกระดาษ บางมากๆ 1 แผ่น ที่ไม่มีความหนา

            มิติที่ 3: หมายถึง เส้นสองเส้น (รูปตัว Y) แต่ตัว Y นี้อยู่บนกระดาษ และเราสามารถพับกระดาษให้หัวตัว Y มาชนกัน ทำให้ระยะที่เคยวัดจากตัว Y ปกติเปลี่ยนไป นึกถึงมดที่เดินอยู่บนขาตัว Y ด้านซ้าย แล้วพอพับกระดาษมาชน ก็สามารถไปยังขาตัว Y ด้านขวาได้ทันที หรือนึกถึง ตัวเรา ที่อาศัยอยู่ในโลกที่มีความกว้าง ยาว และมีความสูง ถ้าเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพก็คือมนุษย์ยุคหิน ประมาณนั้น

            มิติที่ 4: หมายถึง เวลา  เป็นมิติที่ซับซ้อนมากขึ้น ในโลก  ซึ่ง ไอน์สไตน์ เป็นคนแรกที่นำเสนอแนวคิดนี้ว่า สถานที่และเวลา มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็น กาลอวกาศ หรือ Space-time สถานที่ ไม่อาจแยกจากเวลาได้ และเวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ โดยวัตถุใด ๆ ยิ่งเคลื่อนที่ ได้เร็วเท่าไหร่ เวลายิ่งเดินช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราเข้าใจว่า เวลาเป็นเหมือนระยะอย่างหนึ่งแล้ว เราจะมองได้ว่า การที่เรานั้น เดินทางจากจุดที่เราเป็นเด็ก จนถึงจุดที่เราแก่ได้นั้น เป็นเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น ระยะของมิติที่ 4 คือ การเดินทางของเวลา จากอดีต มาสู่ปัจจุบันนั่นเอง

            ส่วนคำว่า มิติ ในทางฟิสิกส์  อาจจะหมายถึง dimension ซึ่งโลกที่เราอยู่ ในปัจจุบัน ที่สัมผัสได้มี 4 มิติอยู่แล้ว  ตามความหมายว่า เพราะสรรสิ่งในโลกปัจจุบันนี้  มีวัตถุ  ที่ประกอบไปด้วย  ความกว้าง ความยาว ความลึก และเวลา ส่วนทฤษฎีสตริง และ ซุเปอร์สตริง  กล่าวว่า มีสิบมิติ  พวกมิติทั้ง 10 หรือ 10+1 เป็นการขดม้วนของมิติพิเศษเข้ามาเป็นโครงสร้าง 3 มิติ + เวลา อีกทีหนึ่ง สำหรับมิติในศัพท์ที่คนทั่วไปใช้ ควรหมายถึง โลกขนานมากกว่า  ซึ่งก็เป็นภาษษวิทยาศาตร์คนทั่วไปจะเข้าใจยากสักหน่อย

            โลกขนานเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ ในลักษณะการเกิดของจักรวาลแบบ Multiverse คำว่าเป็นไปได้ หมายความว่า ไม่มีกฎทางวิทยาศาสตร์อะไร จะไปห้ามไม่ให้มันมี แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานจะบอกว่ามันมี โลกขนานในทาง Multiverse มันอาจเป็นจักรวาลที่มีกฎทางฟิสิกส์เป็นของตัวเอง ค่าคงที่ของจักรวาลต่างๆอาจต่างไปจากเรา และอาจไม่มีทางที่จะเกิดสรรพสิ่งไป จนเกิดสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราเพราะ อนุภาคมูลฐานต่าง ๆ  นั้นมันไม่เสถียร เพียงพอ ที่จะก่อตัวเป็นอะตอม หรือมันอาจมีคำตอบอื่นของการเกิดของชีวิตข้อมูล หรือพลังงานที่ไม่ใช้โครงสร้างเคมี อย่างสิ่งมีชีวิตในจักรวาลของเรานี้ก็เป็นได้

            ต่อมาก็เป็นมิติที่ ห้า ที่มนุษย์ยุคนี้ได้กล่าวถึงกันมาก มิติที่ 5: หมายถึง โอกาส โดย ถ้าเราเข้าใจมิติที่ 4 ว่า เวลา มีลักษณะเป็น เส้น ที่ลากจากอดีต มาสู่ อนาคต และเราเข้าใจว่า มิติที่ 2 คือ ตัว Y นั้น

            มิติที่ 5 ก็หมายความว่า เราในปัจจุบันนี้ อาจจะเดินทางไปยัง ขา Y ด้านซ้าย หรือ ขา Y ด้านขวา ก็ได้ หมายความว่า ตัวเราในปัจจุบัน จะเป็นอะไรในอนาคตก็ได้ เช่น ในตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจจะฝัน ว่า อยากจะเป็น นักบินอวกาศ หรือ หมอ หรือ พ่อค้า หรือ ชาวนา ก็ได้ หมายความว่า จะมีการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทั้งยังสร้างวัตถุ ที่อาศัยเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น มีคุณภาพขนาด คล้ายกับการจิตนาการ ในความฝัน ที่เกิดเป็นจริง ได้ สามารถสัมผัสใช้งานได้จริงนั้นเอง

            มิติที่ 6: หมายถึง เราสามารถพับ ให้ขา Y ด้านบน  หมายถึง หรือตัวเราตอนแก่ ให้ มาเจอ มาบรรจบ กับ ขา Y ด้านล่าง คือ เราตอนเราเป็นเด็กได้  ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราพบมิติที่ 6 ได้จริง และเป็นจริง ในทางปฏิบัติ จริง ๆ ได้เมื่อไหร่  เราจะสามารถย้อนเวลาไปยังอดีต หรือ เดินทางไปในอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันที ทันใด ชนิดที่เรียกว่า เร็วกว่าแสง คือ เมื่อเราพับ space-time ได้  จริง

            เมื่อถึงเวลานั้น จริง เราอาจพบโดราเอมอน แม่นาค พระโขนง หรือยักษ์ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ ได้ที่เดียว สำหรับมิติที่ 6 นี้ ถ้าเราสนใจว่าเป็นอย่างไร  ก็นึกถึงหนัง ในโลกอนาคต ได้หลายเรื่องเลย แต่ที่ขอแนะนำคือ Man in Black ภาคล่าสุด ที่มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว ที่พอถอดหมวกออกมา มีหัวกลวง ๆ สีฟ้า และมีความสามารถพิเศษคือ สามารถเข้าออกมิติที่ 6 ได้อย่างอิสระ และมีตอนหนึ่งในหนัง ที่บอกว่า ชาย คนนี้ สามารถอยู่ได้ทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อม ๆ กัน และสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ของอนาคต ได้ทุกรูปแบบ ซึ่งตอนดูหนังก็ยังงง ๆ  เพิ่งมาเข้าใจตอนดูคลิปอธิบายเรื่องมิตินี้ เอง มันเจ๋งเอามากๆ

            มิติที่ 7: จะเข้าใจมิติที่ 7 ได้ ต้องเข้าใจจุดของมิติที่ 7 ก่อน คือ การที่เรามองสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่าง จักรวาลทั้งจักรวาล เป็นเหมือนจุด ๆ หนึ่ง ซึ่งจุดนี้ รวมความเป็นได้ของจักรวาลของเราที่ควรจะเป็นทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิด บิ๊กแบก จนถึง จุดจบของจักรวาลที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบ ซึ่งจุดนี้ ก็หมายถึง อนันต์ นั่นเอง ทีนี้ องค์ประกอบอีกอย่างของมิติที่ 7 ก็คือต้องมีอีก จุด (อนันต์) อีกจุดหนึ่ง

            ซึ่งแตกต่างจากจุดแรกโดยสิ้นเชิง หรือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากจักรวาลของเรา โดยสิ้นเชิง คือ แตกต่างทั้ง จุดกำเนิดจักรวาล และโอกาสการเกิดจุดจบของจักรวาลนี้ทุกรูปแบบ แน่นอนว่า รวมถึงกฎฟิสิกส์ต่าง ๆ ในจักรวาลนี้ก็แตกต่างจากเราด้วย ทีนี้เส้นเชื่อมจุดสองจุดนี้ ก็เหมือนกับว่า เราสามารถเดินทางจากจุด (อนันต์) จุดอนันต์ หมายถึงจุดที่ไม่รู้จบ หมายความว่ามันยาวและไกลมาก จนเราแทนความหมายว่า อนันต์ หรือ จักรวาลของเรา ไปยังอีกจุดอนันต์หนึ่ง (อีกจักรวาลหนึ่ง) ได้นั่นเอง หมายความง่าย ๆ ว่า พอถึงยุคมิติที่ 7 นั้น เราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลกันไป มาได้แล้ว

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 8:   มิติที่ 8  คือ แทนที่จะมี จุดอนันต์ แค่ 2 จุด (หรือ 2 จักรวาลนั่นเอง สมมุติว่าเป็นจักรวาล A และอีกจักรวาล B) ก็มีจุดอนันต์ เพิ่มมาอีก 1 จุด (อีก 1 จักรวาล สมมุติว่าเป็น จักรวาล C ที่แตกต่างจากอีก 2 จักรวาลแรกโดยสิ้นเชิง) และเราก็สามารถเลือกที่จะเดินทางได้ว่า จากจักรวาล A ของเรา  จะเดินทางไปยัง จักรวาล B หรือ จักรวาล C ก็ได้  หมายความว่าการเดินทางจะข้ามไปอีกมิติจักรวาลอื่นได้อีก

            และ มาถึง มิติที่เก้า มิติที่ 9 : น่าจะยิ่งมันส์มากขึ้น ตามลำดับ เราและท่านไปเป็นอากาศอยู่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้  เพราะนอกจากเราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ แบบไม่มีขีดจำกัดได้แล้ว เรายังสามารถพับ ให้จักรวาลทั้ง สองจักรวาล หรือ 3 จักรวาล มาอยู่ในจุดเดียวกัน ทำให้เราสามารถว๊าป จากจักรวาลหนึ่ง ไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ทันที

            ตอนนี้เราอาจนึกถึง การ์ตูน ประกอบ  เรื่อง โจโจ ล่าข้ามศวรรตษ ภาคที่แล้วมากๆ (ภาค สตีล บอล รัน) ที่สแตนด์ของประธานาธิบดี สามารถ ย้าย เข้าออก ยังมิติของจักรวาลอื่น ที่คล้ายกับมิติของเราได้ เป็นอนันต์ และยังสามารถเปลี่ยนตัวเองที่กำลังจะตาย โดยการมอบสแตนด์ของตนเอง ให้กับคนที่เหมือนกับตนเองแต่อยู่ในมิติอื่น หรือจักรวาลอื่นนั่นเอง ได้ไม่จำกัด สรุปว่า สแตนด์ของประธานาธิบดีในเรื่องนี้ สามารถเข้าออกมิติที่ 9 ได้อย่างอิสระ เสรีนั่นเอง

 

ต่อมาก็เป็นมิติที่ 10 : นักวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่าเป็นมิติสุดท้าย  แต่อาจจะคงไม่ใช่ถ้าเราเชื่อคำว่าอนันต์ หมายความว่าไม่สิ้นสุด แต่คงจะไม่ขอกล่าวมาถึงมิตินี้ ก็ไกลเกินที่จะฝัน แล้ว ถ้าอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็สามารถเลือกดูหนัง ประเภทนี้ได้ คงจะมองภาพออกและเข้าใจด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น  

            เพราะมันไม่รู้จบจริง ๆ  คงจะหมายความว่า เป็นมิติแห่งภูมิสวรรค์ ที่เราเข้าใจกันนั้นแหละ อธิบายไม่รู้จบ เพราะ อธิบายแค่ว่า มีจุดอนันต์ จำนวนมากมายไม่สิ้นสุด และเราสามารถเดินทางไปยังจุดอนันต์ใด ๆ ก็ได้  เพราะจุดอนันต์ทั้งหมดรวมลงมาเป็นจุดเดียว

            เรื่องราวนั้น แม้จะวกไปมา หรือก้าวหน้า ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ พรรดึก วิจิตรพิสดาร ตระการตา ของโลกวิทยาศาสตร์ เพียงใด เหมือนจะเข้าใกล้เมืองสวรรค์ที่ชาวพุทธเข้าใจมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าแม้โลกวิทยาศาสตร์จะสุดพิเศษ ก้าวหน้าเพียงใดคงเทียบชั้นกับโลดสวรรค์นั้นคงไม่ได้ หลายเรื่องหลายประการ ถ้าท่านไม่เชื่อและอยากรู้ ลองศึกษาเรื่อง ไตรภูมิในพุทธศาสนา ตามเนื้อหาทางทฤษฏี และมาทดลองศึกษา ทำสมาธิควบคู่กันไป ตามแนวทางที่ถนัด แม้ยังไม่ก้าวหน้าแต่เชื่อว่าคงเป็นเสบียงเป็นพลัง พาเข้าเข้าสู่มิติที่สูงขึ้นได้ ในขั้นใดขั้นหนึ่ง อย่างแน่นอน

-----------------------------

 

 

 


19 เหตุผล เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

            ทำไมเราเกิดมาบนแผ่นดินนี้ และทำไมต้องพบกับคนแบบนี้ ทำไมเรามาพบสังคมที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ ทำไมเรามาพบกับมนุษย์ที่ คดโกง หลอกลวง ละโมบ ไร้อย่างอาย เช่นนี้  สารพัด สิ่งเลวร้ายที่เรา จะพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ ในเวลานั้น ทั้ง ๆ  ที่สิ่งเหล่านี้ล้วนน่ารังเกียจ ที่สุดของมนุษย์ในยุคอดีต แต่คนในยุคนี้ กระทำได้อย่างน่าตาเฉย เคยชินเหมือนเป็นเรื่องปกติ ที่พวกเขายอมรับกันได้

            หลายคน คงเคยถามตัวเอง และถามคนรอบข้างว่า เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมเราเกิดมาแล้วมาพบมาสิ่งทีผิดธรรมชาติ ของมนุษย์ เราต้องอดกลั้นกับการกระทำนั้น เพราะมันมีผลกระทบกับตัวเรา เราจะทนรับกับเหตุการณ์ แบบนี้ อีกนานแค่ไหน หรือจะนานแสนนาน ทั้งชีวิตแบบนี้ เช่นนั้นหรือ

            ทำไมเราต้องเกิดมาในครอบครัวนี้ ทำไมเรายากลำบากกว่าคนอื่น ทำไมต้องเผชิญกับปัญหา นานามากมาย มีปัญหา ขัดเคืองรอบด้านสารพัด ต้องมาตกงาน ขาดรายได้ ทั้งที่เรามีความรู้ความสามารถ และยังหนุ่มยังสาว  ขยันอย่างไรก็ไร้ผล เพราะโลกคล้ายจะหยุดการพัฒนา ทั้งเราต้องมาพบกับการบริหารจัดการที่รู้สึกว่าแย่ ๆ   ของใครบางคน ที่มีผลกระทบต่อการทำมาหา รับประทานของเรา  เขาตัดสินใจผิดพลาด แบบดิ่งลงนรก และทำไมเราจะต้อง ได้รับผลกระทบ จากการกระทำของเขาด้วย เพราะอะไรหนอ

            หลายคนคงไม่รู้ สับสนและไม่เข้าใจ รวมถึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ และประสบการณ์ของตัวเอง ทุกข้อ ที่กล่าวมา ล้วนจากประสบการณ์จริงที่ผ่านมา  เป็นประสบการณ์ตรง ของผู้คนร่วมกัน กว่าหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน  จากทุกมุของโลก  ทั้งการเขียน การพูดถึง ทุกข้อความ ล้วนเป็นความหวัง ที่ต้องการคำตอบ  เพื่อหาทางปลดปล่อย เครื่องพันธนาการนี้  เราจึง ได้ให้ทุกท่านควรตั้งใจพิจารณา และนำไปปฏิบัติจริง เพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ ด้วยตนเอง จึงขอเอามาเรียบเรียง สรุปเป็นวรรคทอง  19 ข้อให้  นำไปพิจารณา ดังนี้

            ข้อแรกเลย คุณกำลังถูก โลกปลุกให้คุณตื่น เพราะคุณหรือใครบางคน อาจหลงระเริงมากเกินไปในโลก ก็มีต่างอะไรกับการหลับใหล ไร้สติ หลับไปเรื่อย ๆ แบบไร้สาระในระหว่างที่ฝัน  สถานการณ์นี้ทำให้คุณตื่นขึ้น ด้วยความเมตตาของเทพเจ้า หรือบุญเก่าของคุณนั้นเอง ที่ช่วยเหลือคุณไว้ไม่ให้หลับใหลไปมากว่านี้

 

            เรายินดีต้อนรับคุณเป็นคนหนึ่งที่มีภารกิจ อันสำคัญ ไม่งั้นจะไม่มีทางเห็น ข้อความหรือคำกล่าวประเภทนี้ เพราะกระแสคุณ พระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้า และสิ่งที่ดีงามเข้ามาหาคุณนั้นเอง จึงทำให้คุณเข้าใจดี ว่าจิตคุณสว่างแล้ว หลังจากที่ตาในมืดมนมานาน เข้ามา เพราะ มูเรีย อธิษฐานจิตไว้แล้วว่าคนที่เข้ามาขอเป็นคนที่มีภารกิจ หรือเกี่ยวข้องกับภารกิจของมูเรีย ซึ่งภารกิจของมูเรียคือ ปลุกคนให้ตื่น 1,000,000 คน แล้วรวมพลังกันออกมาเป็นแสงสว่าง โดยผู้ที่ถึงวาระ นั้นจะทยอยกันเข้ามาติดต่อมูเรีย

            ข้อความตรงนี้ หลายท่านคงจะติด และคาใจจิตจะยังไม่โล่ง แล้วไปต่อไม่ได้ เพราะติดอยู่กับคำว่า มูเรีย  เพราะเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย คำว่า มูเรีย ในที่นี้ของใช้คำแทนใหม่ว่า คุรุเทพ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

            ส่วนคำว่า แสงสว่าง  ให้ความหมายแทน ผู้กำลังเข้าสู่กระแสพระธรรม หรือกำลังศึกษาเรียนรู้ และปฏิบัติธรรมนั้นเอง

            เหตุผลข้อที่สอง เราเคยเป็นคนเลือกลงมาเกิดในดินแดนนี้เอง เราเลือกประสบการณ์เอง ว่าเราอยากเกิดที่ไหน เป็นลูกใคร มีครอบครัวและชีวิตแบบไหน โดยเรานั้น ได้ตั้งเป้าหมายไว้ แล้วอธิฐานหรือปรารถนา ระบุไว้ก่อนแล้ว โดยมีผู้เป็นพยาน ทั้งมีการบันทึกไว้ ก่อนที่จะมาเกิดแล้ว ทั้งมีรายละเอียด ไว้มากมาย ว่าเราต้องการจะทำภารกิจอะไร บ้างหลังจากที่ เราลงมาเกิด ในถานที่ และได้อัตภาพนั้นแล้ว

            ประการที่สาม  ดาวเคราะห์โลกใบนี้พิเศษกว่าดวงที่อื่น เพราะมีทุกอย่างครบสมบูรณ์ ที่สุด เป็นแหล่งที่สุด ของที่สุด ที่ดาวดวงอื่นไม่มี ไม่ว่า สิ่งที่สุขที่สุด ทุกข์ทรมานที่สุด

            กล้าที่สุดในการทำความดี  ขนาดเอาชีวิตเข้าแลก จนบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ และก็ยังมี ขี้ขลาดที่สุด ตาขาว เป็นที่สุด โง่ที่สุด ถึงขาดฆ่าตัวตาย เพราะความขี้ขลาด ตาขาว โง่สุด แห่งก็ยังมี

            ทั้ง โลกใบนี้ มีประสบการณ์หลากหลาย มากมายให้เราเลือกเรียนรู้ เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากการใช้ชีวิตจริงได้ ผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ที่เก็บไว้พัฒนาตนเอง ให้เลื่อนระดับจิตวิญญาณได้ ไปสู่ภูมิที่สูงขึ้น สามารถเลือกสร้างหรือเลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ต้องการตามกฎ ของ Free will ซึ่งดาวอื่นไม่มี เราจึงตื่นเต้นมาก และอยากรู้ อยากเจอ กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยพบได้มากที่สุด

             เราจึงเลือกอะไร ยากๆ แปลกๆ ท้าทาย ๆ ตัวเองได้มากมาย เพราะในขณะที่เราเขียนนั้น เราเอาตัวเองออกนอกโลกนี้  เหมือนสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่อยู่ นอกโลกใบนี้  เหมือนเราไม่ได้เป็นมนุษย์ เราจึงเข้าใจทุกอย่าง ว่าโลกนี้น่าสนใจอย่างไร  ถ้าเราแยกตัวออกจากโลกได้ ในความหมายแบบพุทธะ จะทำให้เรา มองสิ่งต่าง ๆ  ในโลกนี้มีค่าทุกอย่าง  จึงมอแบบไม่เป็นปัญหา ที่ยากลำบาก แต่มองเป็นสิ่งพิเศษที่อยากเก็บเกี่ยว ประสบการณ์

            ประการที่สี่ สิ่งที่เราพบ ในปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่เราทราบอยู่แล้ว ว่ายินดีเผชิญกับมัน ตั้งแต่ก่อนมาเกิด แต่เราลืมไปแล้ว นั่นหมายความว่าชีวิตของเราต้อง พบกับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด พิสดารแม้แม้แต่ ที่เรารู้สึกว่า เรายากลำบากกว่าคนอื่น แต่ให้รู้ไว้เลยว่านั่นคือของขวัญ นั่นคือสิ่งพิเศษและประสบการณ์ที่เราเลือกมาเอง

            เพราะเราต้องการที่จะเรียนรู้เติบโต และแก้ปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ท้าทายที่คุณอยากเรียนรู้ เหมือนกำลังเล่นเกมผจญภัย นั่นเอง แต่สิ่งที่คุณได้คือความแกร่งของจิตใจ และ มองโลก อย่างผู้เข้าใจ

            เหตุผลประการที่ห้า แต่เนื่องจากเป็นกฎของโลกใบนี้ เราจำเป็นต้องลืมทุกอย่าง หมายถึงเราต้องรีเซตระบบใหม่ ทั้งหมดก่อน เพื่อให้เท่าเทียมกันกับทุกคน หมายความว่าหน่วยความจำ จะต้องว่างเท่ากัน ของสมองทุกหน่วย  ยกเว้นมนุษย์ ชนิดพิเศษ ประเภทระลึกชาติได้ ก็เป็นแบบที่เราต้องทำความเข้าใจกันอีก ลักษณะหนึ่ง

            เพราะโลกนี้ เป็นโลกแห่งประสบการณ์ หลากมิติ ส่วนข้อมูลต่าง ๆ ของเรา ตั้งแต่หลายภพชาติ จะยังคงอยู่ ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในดีเอ็นเอ ของเรา และจะถูกกระตุ้นขึ้นมาเมื่อถึงเวลา ในการตื่นรู้เหมือนสัญญาณที่หลายท่านได้รับ ผ่านทางตัวเลข เสียง ภาพ ความฝัน และอื่น ๆ

            ประการที่หก เหตุการณ์ และกระบวนการต่างๆ ในชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ ล้วนเป็นการ กระตุ้น นำพา ให้เรา เข้าสู่กระบวนการตื่นรู้ บางคน อาจถูกบีบจนมุมชีวิตพลิกผันแบบไม่สามารถจินตนาการได้กันเลย

            เหมือนตอนนี้ มนุษย์ทั้งโลก กำลังถูกอะไรบางอย่างบีบคั้น บีบรัด รีดให้ย่อยบางอย่างออกมา กันอยู่หลายสาเหตุ ไม่ว่าเป็นโรคระบาด ภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม ภัยที่มนุษย์ รังแกกัน แต่นั้นแหละ เหตุการณ์เหล่านั้นต่างก็เกิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นคุณ ให้คุณหาทางออก ให้สมองหาทางแก้ไข

            ให้คุณเข้าใจตัวเอง ให้คุณหาช่องทาง จนสุดท้าย จะพบสัญญาณต่างๆ ให้เข้าสู่กระบวนการการตื่นรู้นั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่คุณมีชีวิตแบบปกติ ไม่มีอุปสรรค ใดใด คุณอาจจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ไม่ต่างอะไรกับเทวดาบางองค์ หรือหลายองค์ ต่างก็ไม่สนใจมนุษย์ ผู้ทุกข์ยาก

            ประการที่เจ็ด สิ่งที่จะทำให้คุณผ่านได้ คือ อย่าพยายามขวาง อย่าพยายามขัดขืน เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณยอมรับ และเข้าใจอย่างแท้จริง ให้อภัยกับทุกเรื่อง ทุกการกระทำของมนุษย์ที่มีส่วนทำให้ชีวิตของคุณลำบาก และทุกข์ยาก พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามานั้น ไม่มีคำว่าบังเอิญ มันล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่นวข้องกันมาก่อน

            ทุกสถานการณ์ได้ รวมทั้งตัวของเราเอง สามารถรักคนที่เคยเกลียด เราได้อย่างสุดหัวใจ หรือไม่ ถ้าสามารถเลิก เลิกยึดติดกับอดีตได้ แต่ก็เชื่อว่ายากกับใครหลายคน แต่ถ้าทำได้ เชื่อว่าเป็นยอดมนุษย์ แห่งยุค ถ้าทำได้จริง เมื่อนั้นประตูสวรรค์ จะค่อย ๆ เปิดออก ในที่สุดคุณ จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ ด้วยตัวเอง

            ประการที่แปด  คุณควรคิดแต่เรื่องบวก  การคิดลบใคร ๆ ก็ทำได้ และง่ายเหมือการปล่อยรถให้วิ่งลงทางลาดชัน ไม่ได้อยากอะไร ที่จะทำ  การคิดลบ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เราถูกล้างสมอง และถูกตีกรอบไว้ด้วยชุดข้อมูล ตรรกะกรอบความคิดบางอย่าง ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นข้อมูล ด้านลบ

            ทั้งค่านิยม กฎเกณฑ์ ทางสังคม และกติกา อื่น ๆ จึงไม่แปลกที่ จะถูกบังคับให้คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ถ้าคิดต่างกัน เชื่อต่างกัน จะถูกสรุปว่า เป็นคนนอกรีต เป็นคนไม่ดี เป็นบุคคลประหลาด ชั่วร้าย ในสายตาของกลุ่ม จนกลายเป็นความเข็มงวด เป็นเผด็จการ ผูกขาดความคิดแบบไม่รู้ตัว เพิ่มอัตตา ตัวกู ของกูพวกกู เป็นศูนย์รวมแห่งความถูกต้อง เข้าไปมากนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อสังคมการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ

            เมื่อถูกสอนให้เชื่อในเรื่องเดียวกัน แบบสงสัยไม่ได้นี้ จะทำให้หลาย ๆ ครั้ง จิตใต้สำนึกของเราทำเพื่อปกป้องตัวเอง ด้วยการมองไปในสถานการณ์ที่เป็นลบก่อน หรือคิดลบก่อนเสมอ นั้นเอง

             เพราะถ้าหากเรารู้ ความลับว่า พลังงานจากความรู้สึกด้านบวก สามารถดึงดูดสิ่งดี ๆ หรือสร้างชีวิตของตัวเองให้สุขขึ้นได้ และเข้าใจ และใช้ระบบสมองคิดแต่เรื่องบวก เสมอเป็นกันทุกคน หรือได้มากที่สุดของจำนวนมนุษย์บนโลก กระแสของโลกก็จะถูกยกระดับเป็นพลังงานใหม่ ในเชิงบวก เป็นพลังฝ่ายขาว เป็นพลังที่สร้างสรรค์ แห่งสันติสุข

             ดังนั้นอำนาจฝ่ายมืด เงาดำของซาตาน ที่อยู่เบื้องหลัง ที่อยากครอบครอง อยากควบคุมโลกนี้ ก็จะไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป แต่อนิจจา โลกใบนี้ นับวันกระแสความคิดด้านลบ มีมากและแรงขึ้นเรื่อย ๆ  นี้คือเป็นเหตุผล ดังนั้นบนโลกใบนี้ ให้มีข่าวด้านร้าย ด้านไม่สร้างสรรค์ ในด้านลบ ด้านที่เป็นปัญหาต่อความสงบสุข ต่าง ๆ ต่อสิ่งมีสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับ ความกลัวรอบตัว ของมนุษย์ เกิดขึ้นมากมาย ให้เราได้พบเห็น ตลอดเวลา

            เหตุผลประการที่เก้า แค่เราเปลี่ยนมา คิด พูด กระทำ ในทางบวก ก็สามารถช่วยยกระดับความสั่นสะเทือน ของสนามพลังบวกในตัวเรา ส่งผลให้บรรยากาศของโลกเย็นลง  นับว่าช่วยโลกให้น่าอยู่อีกวิธีหนึ่ง

            ถ้าเริ่มตรงนี้ได้ ก็เป็นก้าวแรกของเราที่จะเข้าสู่กระแสแห่งมนุษย์ยุคใหม่ กระแสมนุษย์พันธุ์ อริยะดังนั้นให้เริ่มจากตัวเราเองก่อน เริ่มจากการขอบคุณ การสำนึกรู้คุณ ด้วยจิตที่จริงใจ เลือกมองแต่สิ่งดี เป็นบวก พูดแต่ถ้อยคำที่ดี  เป็นการกระจาย พลังงานดี ๆ  ออกไป สู่โลก เริ่มจาก 1 คน เป็นพัน เป็นแสน เป็นล้านคน รับประกันได้เลยว่า ระดับพลังงานบวกของโลก ใบนี้ จะสูงขึ้น และมากขึ้นอย่างแน่นอน และชีวิตของคุณก็จะ ค่อย ๆ  ดีขึ้นด้วย เพราะจิตวิญญาณของ คุณจะจูน ประสานกับพลังแห่งความรัก และแสงสว่าง ซึ่งเป็นพลังแห่งความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ที่สุด ในจักรวาล

            ประการต่อมา คือประการที่สิบ ที่จะนำเสนอ เมื่อพลังงานของคุณถูกยกระดับขึ้น การเชื่อมต่อกับสิ่งทั้งหลายที่คุณมองหา ก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย เพราะระดับพลังงานของคุณเข้าใกล้กับพลังงานต้นกำเนิดนั่นเอง

            เมื่อมาถึงตรงนี้ คุณเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า  ก่อนหน้านี้ทำไมเราถึงทำอะไรไม่สำเร็จ พบแต่อุปสรรค  เพราะพลังงานของเรามันเป็นลบ แต่พลังงานความสำเร็จ และความสุขนั้นเป็นพลังงานด้านบวกดังนั้น การเชื่อมต่อกับความสำเร็จ จึงทำไม่ได้

            พลังงานด้านลบในสนามพลังงานแม่เหล็กของคุณ จากความคิด ความรู้สึก การกระทำ และอื่นๆ ด้านลบของคุณ นั้น จะฉุดรั้งคุณเอาไว้  และดึงสนามพลังงานของคุณให้ตกต่ำลง คุณจึงพบกับอุปสรรคมากมายนั่นเอง

            เหตุผล ข้อที่สิบเอ็ด  ในเมื่อวันนี้เรารู้แล้วว่า เรามีภารกิจ เราเกิดมาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง เราต้องตื่นรู้เพื่อที่จะรับทราบสิ่งเหล่านั้น และออกมาปฏิบัติช่วยเหลือผู้คน โดยไม่ต้องสนใจว่าตอนนี้ คุณจะอายุเท่าไหร่ การศึกษา  ดีกรีของชาวโลก อยู่ในระดับใด  อยู่ที่ไหน เคยฝึกอะไรมาหรือไม่ ไม่สำคัญ

            เราต้องเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนนั้น แต่เดิมนั้น ความสามารถ และทักษะ ซ่อนอยู่ใน DNA ของคุณ อายุไม่เกี่ยว บางคนเข้าใจพระธรรม  เข้าใจอริยะสัจคำสอนขององค์พุทธะได้ บางคนสามารถตื่นรู้ ได้ตั้งแต่สี่ขวบ บางคนอาจตื่นรู้ เมื่ออายุ ตอน 50 60 หรือ 70 ปีก็ได้  นั่นคือ DNA ในกายแสดงผล และสิ่งที่เราต้องการ ได้กำหนดไว้แล้ว ก่อนที่จะลงมาเกิด เมื่อถึงเวลาจะดัง ขึ้นมาเอง เหมือนเราได้ตั้งนาฬิกาปลุก ไว้แล้วก่อนหน้านี้

            ประการที่ สิบสอง แล้วจะรู้ได้ไงว่าถึงเวลาแล้ว  เราก็จะสังเกตว่า เราจะ เจอพบสัญญาณ อะไรบางอย่าง ที่เราชอบและนี้แหละเราหามานานแล้ว เช่นพบบทความบนเว็บไซต์  พบข้อความในเพจ  พบผู้คน ที่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง การตื่นรู้ เห็นตัวเลข พบสถานการณ์ยาก ลำบาก หรือพลิกผัน หรือได้รับนิมิตความฝัน และอื่น ๆ อีกมากมาย

            ประการที่ สิบสาม สิ่งที่อยากให้ทำตอนนี้คือให้อภัยกับผู้คน ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่โกรธ ไม่เกลียด ปล่อยวาง เราทราบว่า ที่แท้จริงแล้วว่าสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดมาเพื่อให้เราเข้าสู่กระบวนการการตื่นรู้  รวมถึงขอบคุณ ทุกสถานการณ์เหล่านั้นด้วย หลังจากนั้นจิตใจเรา จะเบาสบายขึ้น จะค่อยๆเข้าสู่กระบวนการ ตื่นรู้ได้ไว

            ประการที่สิบสี่  ควบคุมตัวเองให้มาก เรื่องของอารมณ์ลบ ควรเปลี่ยน ฝึกในการเปลี่ยนโดยการเตรียมเรื่องดี ๆ ไว้คิด สิ่งที่คิดแล้วมีความสุข จงคิดไป เรื่องดี ดี อะไรก็ได้  จงจดไว้ซัก สี่ถึงห้าเรื่อง ถ้าเราเริ่มคิดไปในทางลบ ที่ไม่ดี ให้เอาสิ่งที่จดไว้ขึ้นมาอ่าน แล้วนึกถึงสิ่งเหล่านั้นให้ได้ นี่คือการฝึกเบื้องต้นในการยกระดับพลังงาน ด้านบวกให้สูงขึ้น

            เหตุผล ประการที่สิบห้า อย่าลืมว่าโลกใบนี้ เป็นแค่โลกสามมิติ ที่ถูกพลังงานสร้างขึ้นเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จริงแท้ ยังยืนถาวรอะไร เรามีร่างกายเป็นพาหนะ แค่ในการใช้ทำภารกิจในชาตินี้ เท่านั้น

             ดังนั้น เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ให้เรามองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ เพียงฉากหนึ่ง ๆ เหมือนคล้าย ๆ กับ เวลาเราดู หนังละครแล้วจบไป ให้อภัยกัน และปล่อยวางซะ เพราะไม่มีอะไรอยู่ติดตัวเราไปได้ตลอดกาล สิ่งที่เราคิดในตอนนี้ เมื่อเวลาผ่านไปอีก 1 นาที มันก็กลายเป็นอดีต ไปแล้ว

            ประการที่สิบหก  ถ้าเราเก็บมาคิดซ้ำ ๆ วนไปมา เราเองที่เป็นคนเจ็บปวด และดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเรา  แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะปล่อยวาง และรู้ว่าเราไม่สามารถกลับไป แก้ไขอดีตที่ไม่ดีได้  สิ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้

            คือปัจจุบันที่เราต้องเลือกมอง และสร้างในสิ่งที่ดี หลบสิ่งที่ไม่ดี เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นรวมถึงภารกิจที่เราตั้งใจลงมาทำด้วย หากอยากปฏิบัติภารกิจ อยากช่วยผู้คน อยากช่วยโลก แต่แค่ผู้คนไม่กี่คน ในชีวิตหรือตัวเราเองยังให้อภัยใครไม่ได้

            หรือปล่อยวางแค้น ความชิงชังกันไม่ได้  หรือยังมองชีวิตที่ตกต่ำ ขาดแคลน มีแต่ปัญหา ของตนเอง ว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย แล้วก็คร่ำครวญ อยู่เช่นนั้น ก็ยากที่จะสำเร็จ จงหันมาเชื่อใจ ไว้วางใจจักรวาลและผู้สร้าง รวมถึงจิตวิญญาณ  และคุรุภายในของเรา

            ว่าจะนำพาเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง นำผู้คน นำสถานการณ์ ต่าง ๆ เข้ามาในวาระที่เหมาะสมเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ทุกสิ่งที่เกิด  ล้วนเกิดมาเพื่อนำทาง ไปสู่สิ่งที่ดี ทั้งร่างกาย และจิตวิญญาณ แม้ในวันนี้เรายังมองไม่เห็นทางนั้น แต่ในอนาคตเราจะเข้าใจทุกสิ่ง เพราะมันจะมาพร้อมกับเส้นทางที่สะดวก

            ประการที่สิบเจ็ด อย่าลืมว่าเรา มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน หากพลังงานคุณดีขึ้น ก็ย่อมจะช่วยผู้อื่นได้ ตัวอย่างง่าย ๆ  เมื่อคุณยิ้มให้คนอื่น คนนั้นเขาก็คงยิ้มตอบกลับมา แม้เขายิ้มไม่ทันแต่จิตที่เป็นมิตรย่อมเกิดขึ้นแล้ว กระแสความเย็นบน อุณหภูมิโลกบังเกิดขึ้นแล้ว

            เราควรปฏิบัติต่อตนเอง ปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความรัก และเมตตา เพื่อเป็นแบ็ตเตอรรี่ เก็บพลังแสงสว่าง  ไม่ว่าเขาผู้นั้น จะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ด้านบวกก็ดี ไป แต่ถ้าด้านลบ คุณพึงระวัง จิตของคุณ อาจสั่นกดลงต่ำ จงอย่าให้ใครมากดทับ ระดับพลังงานของคุณให้ต่ำลงโดยเด็ดขาด จงรู้ทันกระบวนการของจิตตรงนี้

            ประการสำคัญ แท้จริง แล้ว กระแสจิต ของคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของกัน และกัน ในหมู่มนุษย์  ให้มองรวม เป็นพลังงานมวลรวมบวก แล้วเราจะค่อย ๆ เข้าใจ วามมหัศจรรย์ นั้น

            ประการที่สิบแปด  ถ้าเป็นไปได้ คุณทุกคนควรฝึกควบคุมตัวเอง เพื่อยกระดับพลังงานภายในของตน ด้วยวิธีต่าง ๆ ที่คุณถนัด หรือตามวิธีที่พระอาจารย์ เกจิ ตามศรัทธาของคุณ เพื่อฝึก ยกระดับ และเข้าสู่กระบวนการ ที่เหมาะกับตนเองต่อไป

            ประการสุดท้าย ประการที่สิบเก้า ให้หมั่นนั่งสมาธิขอเชื่อมต่อกับคุรุเทพ หรือเทพเจ้าที่คุณศรัทธา ภายในจิตคุณ เพื่อรับการชี้นำทาง และรับทราบข้อมูลภารกิจ  กระบวนการตรงนี้ แต่ละคนอาจจะใช้เวลามากน้อย ไม่เท่ากัน แต่ที่แน่นอน จะค่อย ๆ เชื่อมสัมพันธ์ และรับรู้ข้อมูลได้ทีละนิด

            การกระทำนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อและเชื่อมพลังจิตให้แน่นขนัด  เมื่อคุณทำได้อย่าแนบแน่นแล้ว  คุณไม่ต้องรอให้ถึงเป็นผู้ตื่นรู้ ก็ได้  แม้พลังเป็น พลังจิตแค่เล็กน้อยเพียงนี้  แต่มีค่ามหาศาลต่อโลก   คุณสามารถช่วยโลกได้ ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนขององค์ พุทธะที่บริสุทธิ์ แท้จริง แค่เพียง ระวัง สำรวมกาย วาจา ใจ  พร้อม ๆ กับฝึกปฏิบัติ ละ ลด และเลิก สิ่งที่เบียดเบียน ตนและผู้อื่น ทั้งปวง เพื่อเข้าสู่กระบวนการการตื่นรู้ ที่ทำให้ดวงตา ของคุณ สดใส จนสามารถ มีดวงตาที่สุกใส สว่างมองเห็นตัวอย่าง ผลกรรมดี กับผลของกรรมชั่ว กันได้เต็มตา เต็มแผ่นดิน ทั้งอนาคตเบื้องหน้าของมนุษย์ แม้คุณยังไม่ได้ตาทิพย์

            ก็ตาม  แล้วคุณจะรู้ความเป็นมา และรู้คำตอบว่า มนุษย์บนผืนแผ่นดินโลก ใบนี้ พวกเขามาถึงจุดนี้ กันได้อย่างไร และยังจะทราบด้วยว่า มนุษย์ที่สร้างกรรมดี และสร้างกรรมชั่วนั้น อนาคตพวกเขา จะไปถึงจุดไหน และเขาจะไปถึงจุดนั้น กันได้อย่างไร

---------------------------------------------