วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

อาคารเขียว สถาปัตยกรรมเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม



เรื่องอาคารเขียวหรืออาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเริ่มจากการให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่จะมีผลกระทบทางด้านลบกับการดำรงอยู่ของมนุษย์  ซึ่งโลกเริ่มมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น อากาศก็เริ่มที่จะไม่สะอาดมากขึ้นและมลภาวะที่เป็นพิษมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มนุษย์เริ่มหาวิธีและมาตรการหลายอย่าง เพื่อลดภาวะที่เป็นพิษดังกล่าว  ซึ่งการก่อสร้างอาคาร หรือที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันมากขึ้น  ซึ่งรูปแบบการก่อสร้างอาคารเขียว หรืออาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะเป็นที่นิยมมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว ถ้าเป็นประเทศในแถบเอเชีย ประเทศสิงคโปร์ นับว่ามีอาคารเขียวมากที่สุด เกือบครบ 100 เปอร์เซนต์ ของอาคารทั้งหมดทั่วประเทศ  แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา เองก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องพิเศษเช่นกัน   การออกแบบก่อสร้างอาคารประเภทนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างสูง โดยมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง ถ้ามีการก่อสร้างนั้น


จะได้รับการรับรองด้านการออกแบบอาคาร ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ด้วยมาตรฐาน LEED ( The Leadership in Energy and Environmental Design)  จากสถาบันด้านอาคารเขียวของสหรัฐอเมริการ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับในระดับโกลด์  สำนักงานของสถาบันแห่งนี้จะประกอบด้วยพื้นที่สีเขียว ขนาดใหญ่ ในบริเวณด้านหน้าอาคาร และส่วนที่เป็นดาดฟ้า นอกจากนั้นในตัวอาคารเอง จะติดตั้งเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนับว่าเป็นอาคารเขียว ต้นแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน


            ส่วนอาคารของ เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ สำนักงานใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ก็เช่นเดียวกันก็มีแนวคิดออกแบบอาคารเน้น การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกเช่นกัน  จนได้รับการรับรองมาตรฐานอาคาร แบบ LEED Gold ด้วยองค์ประกอบที่ออกแบบมาเพื่อการประหยัด และอนุรักษ์พลังงานที่ทรงประสิทธิภาพได้อย่างลงตัว  ด้วยการจัดแต่งพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ มีสวนพักผ่อนบนดาดฟ้า กำหนดพื้นที่โล่งปราศจากเสาอยู่ภายในพื้นที่เพื่อเช่า เพื่อการตกแต่งและการใช้งานในพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบลิฟต์แบบอัจฉริยะ มีระบบแสงไฟ และระบบทำความเย็นอัตโนมัติ  ทั้งหมดนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการประหยัดพลังงานโดยตรงและอย่างยั่งยืน




มีการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพทุกระบบ  ยกตัวอย่างวัสดุที่ใช้เป็นผนังกับโครงสร้างภายนอก ก็เป็นการใช้กระจกคุณภาพสูง ที่อนุรักษ์พลังงานคุณภาพชั้นยอด ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา (Insulated Laminated Low-E) ที่มีความหนาถึง 3 ชั้น เป็นกระจกนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนและป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดได้ดีแล้ว ยังมีฉนวนป้องกันเสียงจากภายนอกที่จะเข้ามารบกวน เพื่อให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่เงียบไร้เสียงรบกวน เพื่อเป็นการยึดมั่นในคำสัญญา ในเรื่องนโยบายอนุรักษ์พลังงาน ที่เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ยึดถือเสมอมา  ขณะเดียวกัน เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ก็พร้อมมอบประโยชน์ให้กับชุมชนในพื้นที่ ด้วยการเปิดพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ เป็นพื้นที่สาธารณะ ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาทำกิจกรรม และพักผ่อนหย่อนใจ หรือจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ได้

รูปทรง พื้นที่ใช้สอย และฮวงจุ้ย
ความคึกคักและไม่เคยหยุดนิ่งของย่านใจกลางเมือง คือ แรงบันดาลใจหลักของการออกแบบอาคาร เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ โดยคำนึงถึงรูปทรงและทิศทางของแสง เพื่อสร้างสรรค์ตัวอาคารที่สื่อถึงความไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้คนมีไฟและมีความกระตือรือร้นในการทำงาน พร้อมออกแบบในลักษณะสี่เหลี่ยมวางซ้อนกัน (Interlocking Cube) เพื่อสร้างลูกเล่นให้กับตัวอาคารอีกด้วย
            การที่  อาคาร เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์  ได้รับการรับรองว่าเป็นอาคารรักษ์สิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน LEED Gold ถือเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบ  ซึ่งปรัชญาสีเขียวนี้ ได้ถูกถ่ายทอดผ่านทุกองค์ประกอบของการออกแบบ และการก่อสร้างของอาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
            การออกแบบอาคารและกำหนดให้มีพื้นที่เปิดโล่งนั้น สะท้อนถึงปรัชญาในการดำเนินงานขององค์กร รวมถึงทัศนคติขององค์กรที่มีต่อคนไทย และสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ด้านนอกเพื่อให้คนทั่วไปสามารถมาใช้ประโยชน์ได้  


            เนื่องจากอาคารของ เอ ไอเอ นั้นตั้งอยู่ ย่านความเจริยบนถนนรัชดาภิเษก เป็นย่านที่มีพลังงานชี่ (Chi) อยู่มาก (เห็นได้จากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนเองก็เลือกทำเลที่ตั้งในย่านนี้) ปรมาจารย์ซินแสด้านฮวงจุ้ย จึงแนะนำให้ออกแบบรูปทรงอาคาร (ธาตุดิน) ให้เหมาะสมกับพลังงานที่เคลื่อนไหวทางทิศเหนือ โดยหันหน้าอาคารไปทางทิศตะวันออก (ธาตุไม้) และใช้กระจกเป็นวัสดุหลักของด้านหน้าตัวอาคาร (ธาตุทอง) รวมทั้งควรให้สีของด้านหน้าอาคารเป็นสีฟ้า (ความเกื้อหนุนกันระหว่างธาตุไม้และธาตุทอง) เนื่องจากทิศเหนือเป็นทิศที่เกื้อหนุนการค้าขาย เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งอาคารพื้นที่ย่านนี้  นับว่าเป็นการนำภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของโลกตะวันออกโบราณ มาประยุกต์ใช้กับการปรับภูมิทัศน์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ ได้อย่างลงตัวทั้งทางจิตใจ ความเชื่อและทางด้านกายภาพ ได้อย่างลงตัว


------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

บัญชีเกี่ยวกับสัญญาการก่อสร้าง


ในตอนนี้เราจะมาพูดถึงบัญชีที่กำหนดไว้ในสัญญางานก่อสร้าง เรื่องนี้จะเป็นการบัญชีสำหรับงานก่อสร้างประการแรกที่จะเข้าสู่เรื่องของบัญชีนี้เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า สัญญางานก่อสร้าง กันก่อน สัญญาก่อสร้าง คือเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้จ้างทำงานกับผู้ที่เข้ามารับจ้างในการทำงานนั้น โดยมีการกำหนดรายละเอียดขึ้นเกี่ยวกับการก่อสร้างและทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน ซึ่งมีความหมายว่าผู้รับจ้างก่อสร้างก็จะทำงานให้กับผู้ว่าจ้าง โดยทั่วไปแล้วลักษณะของการก่อสร้างนี้จะมีรายการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างสะพาน   การก่อสร้างอาคาร การก่อสร้างโรงงาน การก่อสร้างเขื่อน ซึ่งในความหมายนี้ก็คือเป็นลักษณะของการก่อสร้าง ซึ่งผู้รับจ้างก็จะทำตามข้อตกลงในงานก่อสร้างที่ผู้รับจ้างได้กำหนดให้ดำเนินการนั้น ๆ ว่าผู้รับจ้างก็จะต้องทำตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง ว่าจะให้ทำการก่อสร้างในลักษณะใด
            ซึ่งในความหมายนี้ การก่อสร้างนั้นจะต้องมีระยะเวลาในการก่อสร้างเกินกว่า 1 ปีซึ่งในความหมายของบัญชีนี้ อาจจะมีการเริ่มก่อสร้างในปี X1 แต่อาจจะไปเสร็จ  X2 หรือ ปี X3 ก็ได้ ในความหมายตรงนี้นั้น การก่อสร้างทำไม่เสร็จภายในปีเดียว อาจจะเสร็จภายในอีก 2 ปีหรือ 3 ปีข้างหน้าก็ได้ลักษณะของการก่อสร้างส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาในการก่อสร้างมากกว่า 1 ปี แล้วเริ่มงวดที่ 1 ก็จะในงวดที่ 2 งวดที่ 3 ก็ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่ธรรมชาติของงานก่อสร้าง แต่ละประเภท ซึ่งจะไม่เหมือนกัน  และในความหมายของการบัญชี จะมีสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจ ในความหมายของการที่จะนำรายการต่าง ๆ นั้นมาบันทึกบัญชี  รายการนี้เรียกว่า บัญชีในการก่อสร้าง  ผู้ที่เกี่ยวของกับจะลงบัญชีในการก่อสร้างนั้นต้องทราบ และต้องเข้าใจก่อนว่า ประเภทของบัญชีงานก่อสร้าง ที่จะสามารถลงบันทึกบัญชีได้ มีกี่ประเภทและมีอะไรบ้าง
ประเภทของบัญชีในการก่อสร้างที่ควรจะพิจารณา
โดยทั่วไปแล้วประเภทของสัญญางานก่อสร้างที่จะต้องลงบันทึกบัญชีได้ ในทางบัญชีงานก่อสร้างได้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
            ลักษณะที่ 1 ก็คือ สัญญาราคาคงที่   คำว่า สัญญาราคาคงที่ ก็คือสัญญาที่ตกลงกันระหว่างผู้จ้าง กับผู้รับจ้างด้วยราคาที่คงที่ เป็นราคาที่ตกลงกันเท่าไหร่ ก็เป็นไปตามนั้น จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น สัญญาสร้างสะพานมูลค่า 200 ล้าน

หรือราคา ก่อสร้างสะพานคิดราคากิโลเมตรละ 1 ล้านบาท ค่าก่อสร้างสะพานยาว 10 กิโลเมตร ค่าก่อสร้างในที่นี้ก็คือ 10 ล้านบาท คือมีการตกลงราคาและผลของงานไว้อย่างชัดเจน และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างนี้เรียกว่า สัญญาราคาคงที่
            ประเภทที่สอง เรียกกันว่า สัญญาต้นทุนบวกส่วนเพิ่ม คำว่าสัญญาต้นทุนบวกส่วนเพิ่ม นั้น หมายความว่าเป็นสัญญาที่จะมีการบวกเข้าไปกับต้นทุนที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่าง กิจการผู้รับจ้างกำหนดส่วนเพิ่มที่ต้องการส่วนเพิ่ม 10% จากต้นทุนในการก่อสร้าง  ถ้าต้นทุนในการก่อสร้างเกิดขึ้นจริง  20 ล้าน ดังนั้นราคาก่อสร้างรวมจะเป็น 22 ล้าน ตรงนี้หมายความว่าต้นทุนคือ  20 ล้านบาท แล้วก็บวกส่วนเพิ่มอีก 10%  คือการที่นำ 20 ล้านนั้น มาคูณ 10% ก็คือ 2 ล้าน ก็กลายเป็น 22 ล้านบาทนั้นเอง 
การรับรู้บัญชีและการบันทึกบัญชีสำหรับงานก่อสร้าง
            ประการต่อมาเราก็มาทำความรู้จัก การรับรู้บัญชีและการบันทึกบัญชีสำหรับงานก่อสร้าง ในการก่อสร้างนั้นการรับรู้รายได้  เราจะรับรู้ตามขั้นความสำเร็จของงาน ซึ่งภาษาบัญชีเรียกว่า การรับรู้รายได้ตามขั้นความสำเร็จ ของงาน   หรือเรียกอีกอย่างว่า วิธีอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญในการทำความเข้าใจในบัญชีที่ทำสัญญาในงานก่อสร้าง เป็นหัวใจสำคัญที่ผู้ทำบัญชีต้องทำความเข้าใจ เราต้องรับรู้ว่าสัญญาการก่อสร้าง ของเราจะมีการรับรายได้เมื่อไหร่  เพราะว่าการรับรู้คือความหมายของคำว่า อัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จงานเสร็จเท่าไหร่  รายได้การก่อสร้างนั้นให้รับรู้ตามขั้นความสำเร็จของงาน
            สรุปตรงนี้ว่า ในเรื่องนี้หลักการบัญชีได้กำหนดไว้ว่าให้พิจารณาตามงานผู้มีความน่าเชื่อถือในงานก่อสร้าง หมายความว่ากิจการจะรับรู้รายได้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนได้ โดยให้คำนวณจากขั้นความสำเร็จของงานที่ทำการก่อสร้างนั้น ซึ่งต้นทุนและการรับรู้รายได้นั้นก็จะต้องดูจากขั้นความสำเร็จของงาน
การประมาณผลของงานก่อสร้าง
การรับรู้และต้นทุนในการก่อสร้างให้พิจารณาโดยความน่าเชื่อถือในการประมาณผลของงานก่อสร้าง คือกิจการจะรับรู้รายได้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนโดยต้องคำนวณจากขั้นความสำเร็จของงานก่อสร้าง ก็ความหมายว่าทั้งต้นทุนและการรับรู้รายได้จะต้องคิดจากงานที่สำเร็จแล้วเท่านั้น  ส่วนในกรณีที่ไม่สามารถประมวลผลงานก่อสร้างได้อย่างน่าเชื่อถือ ได้นั้น กิจการจะรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างได้ใน จำนวนที่ไม่เกินกว่าต้นทุนที่เกิดจากการก่อสร้างแล้ว นี้คือวิธีการดำเนินงาน ในกรณีที่ไม่สามารถประเมินผลขั้นสำเร็จของงานที่น่าเชื่อถือได้ 
            หมายความว่าบางครั้งเราไม่สามารถประมาณการความสำเร็จของงานได้อย่างน่าเชื่อถือ ที่จะนำมาลงในรายการทำบัญชีได้  ก็สามารถที่จะคำนวณความสำเร็จของงาน เพียงต้นทุน ที่ใช้ไปในการก่อสร้างเท่านั้น
องค์ประกอบของรายได้และต้นทุนในการก่อสร้าง
1. รายได้เริ่มแรกตามที่ได้ตกลงกันไว้ (ระหว่าผู้จ้าง กับผู้รับจ้าง)
2. จำนวนเงินที่เกี่ยวข้อง จากการดัดแปลงงานตามสัญญาค่าดัดแปลงงาน หมายความว่าในทางปฏิบัติแล้วโดยในขณะที่ทำการก่อสร้างอยู่ ผู้จ้างอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงงานบางส่วนเกิดขึ้นตรงนี้ก็จะต้องมีค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นตามไปรายการ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงงานของผู้รับจ้างนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้
3. การเรียกร้องค่าเสียหาย บางครั้งในขณะทำการก่อสร้างนั้นอาจจะเกิดความเสียหายเกิดขึ้น จะต้องมีการเรียกร้องเก็บเงินจากผู้จ้าง หรือจากบุคคลที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น ซึ่งผู้รับจ้างได้เงินเข้ามา ในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวนี้ สามารถวัดเป็นมูลค่าหรือมีแหล่งที่มาของรายได้อย่างน่าเชื่อถือ ก็ถือว่าเป็นรายได้ด้วย

4. การจ่ายเงินเพื่อจูงใจ การจ่ายเงินประเทศจูงใจนี้ หมายถึง ในกรณีขณะที่ผู้ทำการก่อสร้างกำลังก่อสร้างนั้น ผู้จ้างมีความต้องการให้ผู้รับจ้าง ทำงานนั้นให้ดี มีความประณีต ให้งานนั้นมีคุณภาพมากขึ้นกว่าเดิมต้องการให้งานนั้นมีมาตรฐาน มีคุณภาพมาก หรือมีรายละเอียดที่พิเศษเพิ่มเข้ามา หรือมีความต้องการให้งานนั้นสำเร็จเร็วกว่า วันเวลาที่ได้ตกลงกันไว้  ผู้ว่าจ้างอาจจะยินยอมจ่ายเงินเพิ่มให้แก่ผู้ทำการก่อสร้างนั้น ซึ่งเป็นเงินเพิ่มจากค่าจ้างเดิมที่ตกลงกันไว้ เรียกว่าการจ่ายเงินจูงใจ  กรณีเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้ของผู้รับจ้างด้วยเช่นกัน นี้คือกลุ่มของรายได้ที่สามารถจะนำไปบันทึกในการบัญชี ได้ในกลุ่มของรายได้ของการก่อสร้างที่สามารถเชื่อได้ว่าน่าเชื่อถือ และนำไปบันทึกในรายการบัญชีงานก่อสร้างได้อย่างถูกต้อง เช่นกัน
ต้นทุนก่อสร้างโดยตรง
1. ค่าแรงงาน ในเรื่องนี้หมายถึงการที่ผู้ว่าจ้างงานจะต้องจ่ายค่าแรงให้กับคนงาน
2. ต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนที่นำไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์ในการก่อสร้าง
3. ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาที่ใช้ในอุปกรณ์งานก่อสร้าง จะรวมทั้งรูปสินทรัพย์ถาวรต่าง ๆ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ก็ต้องคิดค่าเสื่อมราคาด้วยเช่นกัน

4. ต้นทุนในการเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน ซึ่งการเคลื่อนย้ายเครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ยังจะมีต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
5. ต้นทุนในการเช่า โรงงาน และอุปกรณ์ ต้นทุนประเภทนี้ รวมถึงต้นทุนเช่าโรงงาน และอุปกรณ์ เครื่องจักร ซึ่งทั้งหมดนี้ที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างก็จะหมายถึงต้นทุนทั้งหมดด้วย
6.ต้นทุนในการออกแบบการเขียนแบบในงานก่อสร้าง
7.ต้นทุนในการแก้ไขงาน ในงานก่อสร้าง ในรายการแบบต่าง ๆ ในขณะทำงาน
8.ค่าเสียหายผู้เรียกร้องจากบุคคลที่สาม ในกรณีนี้ยกตัวอย่างเช่นผู้รับเหมาขณะทำการก่อสร้างอาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วก็ถูกผู้เสียหายเรียกร้องค่าเสียหายก็ถือว่าเป็นต้นทุนในการก่อสร้างด้วยเช่นกัน

9.รายได้ซึ่งไม่รวมในแบบงานก่อสร้าง อาจจะสามารถไปลดต้นทุนในการทำงานข้างต้นได้ ตัวอย่างเช่นรายได้จากการขายวัสดุอุปกรณ์ที่เหลือจากงานก่อสร้าง ในกรณีนี้ถือว่า มีรายได้จากการขายเศษวัสดุอุปกรณ์ที่เหลือจากการก่อสร้าง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่รายได้ที่เกิดจากรายได้หลัก รายได้ตรงนี้สามารถที่จะนำไปลดต้นทุนที่เกิดจากการก่อสร้างได้ด้วย
            ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการก่อสร้างมี  200 ล้านบาท แต่ต่อมามีการขายเศษวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้างที่เหลือจากการก่อสร้างที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรายได้ในการขายเศษวัสดุนี้ 10 ล้านบาท ดังนั้นในกรณีนี้การจัดทำบัญชีต้องเอารายได้จำนวน ดังกล่าวมาลบออกจาก 200 ล้านบาท ดังนั้น ต้นทุนในการก่อสร้างในครั้งนี้จริง ๆ ก็คือ 190 ล้านบาทเท่านั้น        
ต้นทุนก่อสร้างโดยทั่วไป
            ต้นทุนในการก่อสร้างโดยทั่วไป  ต้นทุนประเภทนี้สามารถปันส่วนให้งานก่อสร้างได้  เช่นต้นทุนโดยทั่วไปนี้ จะหมายความรวมถึง ค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับงานก่อสร้าง ค่าโสหุ้ย ต้นทุนกู้ยืม ต้นทุนในการออกแบบ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง ซึ่งเป็นต้นทุนในการออกแบบในการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อสร้าง ตรงนี้ก็มีหลักในการพิจารณาว่า อาจจะไม่สามารถที่จะทราบว่าต้นทุนที่แท้จริงได้ว่าเท่าไหร่  ดังนั้นจึงใช้วิธีลักษณะบัญชีของงานปั่นส่วนเข้าไปในต้นทุนของงานก่อสร้างนั้นชื่อเรียกง่าย ๆ ว่าต้นทุนปันส่วน  โดยภาพรวมก็ได้  ซึ่งการปันส่วนต้นทุนนั้น อาจจะปันส่วนตามรายได้ หรือบางส่วนตามต้นทุนการก่อสร้าง หรืออาจจะปันส่วนตามชั่วโมงแรงงานของการทำงานก็ได้ การคำนวณต้นทุนดังกล่าวนี้ใช้ในกรณีที่เราไม่ทราบว่าต้นทุนดังกล่าวนี้ จะมาจากรายการทำงาน ที่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นการทำงานของส่วนงานไหน เราก็จะใช้วิธีปันส่วนต้นทุน ตรงนี้เข้าไปในรวมในต้นทุนของงานก่อสร้างด้วย

ตัวอย่างการบันทึกต้นทุนปันส่วน
            บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง มีสำนักงานกลางที่ทำงาน ซึ่งประกอบด้วยพนักงาน ซึ่งทำหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพของงานก่อสร้าง เป็นงานที่ไม่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง มีการกำหนดว่าหน่วยงานนี้มีค่าใช้จ่ายในการทำงาน 250,000 บาท เงินจำนวน 250,000 บาท นี้ไม่ใช่ต้นทุนที่ใช้ในงานก่อสร้างโดยตรง
            แต่ก็เป็นต้นทุนที่เกิด โดยภาพรวมของงานก่อสร้าง ดังนั้นเวลาลงบัญชีก็จะต้องใช้วิธีการปันส่วน เงินจำนวน
250,000 บาท นี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ควรปันส่วนไปยังโครงการก่อสร้างงานต่าง ๆ ซึ่งเกณฑ์ในการเพิ่มส่วนนั้น อาจจะปันส่วนตามรายได้ของงานก่อสร้าง ในแต่ละโครงการ หรืออาจจะปันส่วนตามต้นทุนของแต่ละโครงการก็ได้ เช่น ส่วนตามชั่วโมงแรงงานทำงานของแต่ละโครงการก่อสร้างก็ได้ ซึ่งต้นทุนลักษณะนี้ บางครั้งอาจเรียกว่า ต้นทุนรวม ก็ได้


ต้นทุนอื่น
            ต้นทุนอื่น หมายถึง ต้นทุนที่สามารถเรียกเก็บจากผู้จ้างก่อสร้างได้ ภายใต้เงื่อนไขของสัญญางานก่อสร้าง  เช่น ต้นทุนในการบริหารจัดการทั่วไป ต้นทุนในการพัฒนา รายการนี้เจ้าของกิจการที่รับงานก่อสร้าง สามารถเรียกเก็บจากผู้จ้างตามสัญญาได้ ตามที่ระบุไว้ได้ นี้คือความหมายของ ต้นทุนเงินอื่น

            ซึ่งรายการข้างต้นนี้ ก็คือต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ของต้นทุนในการก่อสร้าง เพียงบางส่วนที่ได้นำมาเสนอในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงการลงรายการ งานบัญชีเรื่องต้นทุนในการก่อสร้างนั้น ยังมีรายละเอียดที่จะต้องนำมาคำนวณ นำมาพิจารณาร่วมกันอีกหลายรายการ  ซึ่งจะได้นำเสนอ เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานบัญชีงานก่อสร้างอีก ในครั้งต่อไป

----------------------------------------------------------------------------








วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ต่อสายไฟฟ้าด้วยไวร์นัท (Wire Nut


  การทำงานทุกสาขาอาชีพ ล้วนแต่เป็นองค์ความรู้ทั้งสิ้น องค์ความรู้นั้นตามธรรมชาติแล้วจะได้รับการถ่ายทอดนั้นจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่ตั้งใจรับ และไม่ได้ตั้งใจรับ ส่วนการนำความรู้มาใช้ ในเชิงปฏิบัตินั้นจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เข้าใจลึกซึ้งมากกว่าวิธีอื่น เพราะการทำจริง ปฏิบัติจริงจะพบกับปัญหา และอุปสรรคในการทำงาน และถ้าไม่แก้ปัญหาก็เดินหน้าทำงานต่อไปไม่ได้  ในการทำงานย่อมเกิดปัญหาอยู่ตลอดเวลาที่คนทำงานก็ต้องแก้  การแก้ปัญหาในงานนั้นก็ต้องอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่  และนำวิธีแก้ปัญหาของผู้ปฏิบัติงานก่อนหน้านี้ มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา บางครั้งก็สำเร็จ และบางครั้งก็ไม่สำเร็จ งานก่อสร้างก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ทำงานตามแบบที่กำหนดมาให้ แต่ในทางปฏิบัติงานจริงนั้น บางจุดบางช่วงของงาน อาจจะไม่ตรงตามที่วางแผนไว้ได้ เช่นกัน  การแก้ปัญหาในงานก่อสร้างนั้นมีมากมาย บางเรื่องก็มีการคิดค้นวิธีแก้ปัญหา ที่สามารถทำให้งานออกมาดีมีคุณภาพ ลดต้นทุนได้มากขึ้นกว่าวิธีเดิมเรามักนิยมเรียกกันว่า  นวัตกรรม  
            สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ และคณะ(2553) ได้ให้ความหมายของ นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรู้ ทักษะประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ ในการพัฒนาขึ้น ซึ่งอาจจะมีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ หรือกระบวนการใหม่ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
            ดังนั้น ความหมายของคำว่า   นวัตกรรม  นั้น คนไทยส่วนมากแล้วยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันไปมาก เพราะส่วนมากแล้วจะมองไปถึงเครื่องจักรกลขนาดใหญ่  ที่มีระบบอัตโนมัติแบบใหม่ ๆ มีเทคนิคการใช้งานที่ทันสมัยล้ำยุค เป็นการคิดค้นที่มีหนึ่งเดียว ที่เกิดขึ้นในโลก ความเข้าใจเช่นนั้นก็คงถูกต้อง  แต่บางครั้งก็อาจมองข้าม แนวคิด สร้างสรรค์ใหม่ กระบวนการทำงานใหม่ หรือวิธีการทำงานแบบใหม่  ๆ   ที่นำมาสร้างสรรค์งานให้เกิดประโยชน์ และเพิ่มมูลค่าได้ ก็นับเรียกว่าเป็น นวัตกรรม  เช่นเดียวกัน  และในการทำงานก็มีการคิดค้น หรือเรียกว่า กระบวนการใหม่ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ที่อยากจะนำเสนอ คือเรื่องของงาน ช่างต่อสายไฟ  ซึ่งก็นับว่าเป็นแนวทางการทำงาน 
การต่อสายไฟ  ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่ช่างไฟ ที่น่าจะศึกษาและนำองค์ความรู้นี้ไปใช้ในการทำงานได้จริง  เรียกว่า ต่อสายไฟฟ้าด้วยไวร์นัท   เป็นการต่อสายไฟฟ้าในระบบท่อร้อยสายที่ให้ฝังตัวอยู่ในฝ้าเพดาน ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจมาก 


วิธีต่อสายไฟฟ้าด้วยไวร์นัท (Wire nut)
     การต่อสายไฟฟ้าด้วยไวร์นัท (Wire nut) จะต้องใช้วิธีหมุน เพื่อให้ไวร์นัทรัดสายให้แนบชิดกันก่อน เมื่อต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องใช้เทปพันตรงสายไฟ เนื่องจากปลอกของไวร์นัทเป็นฉนวนอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้จุดต่อสายไฟดังกล่าวลงกราวด์ได้  ซึ่งการต่อสายไฟฟ้าด้วยไวร์นัทนั้น จะนิยมนำมาต่อในกล่องต่อสาย (Junction box) โดยเฉพาะการเดินสายในท่อร้อยสาย ส่วนการใช้เทปพันสาย ซึ่งเทปพันสายนั้นเป็นวัสดุฉนวนไฟฟ้าที่นิยมใช้ทั่วไปนั้น  จะมีราคาถูก (ควรเลือกเกรดที่ดี)
            ส่วนวิธีการพันปิดทับรอยต่อสายไฟฟ้านั้น จะต้องเริ่มจากพันเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จนสุดรอยต่อ จากนั้นจึงพันวกกลับมาที่จุดเริ่มต้นเดิมอีกครั้ง  ทำแบบนี้จนแน่ใจว่ามีความปลอดภัย แต่จะต้องไม่หนาจนเกินไป ในขณะที่พันจะต้องดึงเทปพันสายให้ยืดออกเล็กน้อย เพื่อให้เทปรัดรอยต่อกันให้แน่นมากขึ้น เพื่อความปลอดภัย จึงนำเสนอเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตรวจสอบเบื้องต้น ตามภาพ ดังนี้




----------------------------------------

            

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

กฎหมายก่อสร้าง

กฎหมายก่อสร้าง 


โดยในทางกฎหมายนั้น ตึกบ้านและส่วนประกอบทั้งหมดในเขตอาคารทุกขนาดนี้จะมีลักษณะการควบคุมโดยกฎหมายซึ่งปัจจุบันนี้การก่อสร้างโดยทั่วไปต้องทำการขออนุญาต แต่บางเรื่องก็ไม่จำเป็นเช่น การก่อสร้างลานตากข้าว ลานตากมันสำปะหลัง ที่มีพื้นที่ติดต่อกับตัวอาคารที่ทำการก่อสร้าง ซึ่งในรายละเอียดทั้งหมดนี้สามารถที่จะไปอ่านได้ในกฎหมายควบคุมอาคาร ที่ระบุไว้ในคำนิยามว่าอาคารอยู่ที่อยู่ในกฎหมายควบคุมอาคาร มาตรา 4




การยื่นขออนุญาตก่อสร้างของสิ่งก่อสร้าง
สิ่งที่จะต้องทำการยื่นขออนุญาตโดยผู้เป็นเจ้าของที่ทำการก่อสร้างจะต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนที่จะไปขออนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้รับอนุญาตในท้องถิ่น ที่สถานที่จะก่อสร้างนั้นตั้งอยู่  เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการโดยตรง  เรื่องนี้จะรวมทั้งที่จะทำการก่อสร้างใหม่ หรือการดัดแปลงอาคารที่เรียกว่าเป็นการต่อเติมซึ่งการต่อเติมบ้านหรือต่อเติมอาคารจะต้องทำการยื่นเพื่อขออนุญาตในการก่อสร้างเช่นเดียวกันก่อนจะทำการก่อสร้าง เจ้าของ หรือผู้มีอำนาจจะทำการก่อสร้างก็จะทำการยื่นขออนุญาตการก่อสร้าง ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน  โดยเอกสารที่ผู้ขออนุญาตจะต้องเตรียมเพื่อยื่นขออนุญาตนี้จะประกอบด้วยเอกสารรายการใดบ้าง ถ้าจะให้เรียบร้อยควรจะต้องได้รับคำแนะนำในการจัดเตรียมเอกสารจากพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นก่อน
ว่ามีรายการใดบ้างที่ต้องเตรียมเพื่อไม่ให้เสียเวลา ในทางปฏิบัติ ถ้ายื่นเอกสารขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ และถ้าเอกสารครบถ้วน ตามแบบขออนุญาตเสร็จเรียบร้อยแล้วสิ่งที่พนักงาน เจ้าหน้าที่จะต้องทำควบคู่กันหลังจากเอกสารครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่นั้นจะต้องเข้าไปทำการตรวจสถานที่จะดำเนินการก่อสร้างตรงกับรายการหรือไม่ตรวจแบบแปลนก่อสร้างตรงกันหรือไม่  โฉนดที่ดิน และรายการเอกสารถูกต้องครบถ้วนให้เรียบร้อยถ้าถูกต้องครบถ้วน ตามกฎหมายแล้วถึงจะออกใบอนุญาตให้ผู้ขออนุญาตก่อสร้างได้เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วจึงจะมีสิทธิ์ดำเนินการก่อสร้างได้  แต่ถ้าไปทำการก่อสร้างก่อนที่ได้รับใบอนุญาตถือว่ามีความผิดกฎหมายสรุปว่าจะทำการก่อสร้างได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้น
กระบวนการและขั้นตอนในการยื่นขออนุญาตก่อสร้างจะได้กำหนดรายละเอียดไว้ในกฎหมายเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติซึ่งแนวการปฏิบัติเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ขออนุญาตส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเทศบาลใหญ่ๆหรือกรุงเทพฯจะใช้แนวทางการปฏิบัติ  ขั้นตอนแรกที่เริ่มทำการขออนุญาตก่อสร้างนั้นเนื้อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะต้องทำการตรวจคัดกรองเอกสารเบื้องต้นก่อนมีเอกสารครบถ้วนหรือไม่อย่างไรถ้ายังไม่ครบเช่นการไม่มีโฉนดที่ดิน  ไม่มีแบบแปลนโครงการก่อสร้างหรือแบบแปลนการต่อเติมอาคารซึ่งการยื่นแบบแปลนมีความจำเป็นอย่างมากในการขออนุญาตก่อสร้างถ้าสมมุติว่าผู้ยื่นขออนุญาตไม่มีแบบแปลนมาให้ตรวจสอบ  ธุระที่สำคัญสุระสอบจะไม่รับเรื่องในการตรวจสอบให้ผู้ยื่นขออนุญาตกลับไปนำแบบแปลนงานก่อสร้างมหาให้ครบถ้วนก่อนเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ยื่นยื่นขออนุญาตงานก่อสร้างจะต้องให้ความสำคัญในเอกสารแบบแปลนซึ่งโตแล้วเอกสารครบแล้วตัวเลขถึงจะทำการปั๊มเพื่อรองรับเอกสารซึ่งวันเวลาที่เจ้าหน้าที่ปั๊มรองรับเอกสารจะปรากฏวันเวลาเริ่มต้นทันทีพระรับเรื่องเสร็จเวลาก็เริ่มเดินเมื่อเอกสารครบถ้วนพระเจ้าหน้าที่รับเรื่องประสานเรียบร้อยแล้วโดยการปั้มตรารับรองแนวเขตที่เจ้าหน้าที่จะต้องทำต่อไปเจ้าหน้าที่จะต้องรีบทำให้เสร็จภายในระยะเวลา 7 วันเพื่อทำการตรวจสอบเอกสารว่าครบถ้วนหรือไม่เชื่อในขั้นตอนนี้จะต้องทำการตรวจเอกสารที่ขอก่อสร้างอย่างละเอียดเป็นการตรวจเอกสารอย่างละเอียดทุกชุด  เช่น  การสร้างชิดเขตที่ดินจะต้องมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงหรือไม่ยินยอม ถ้าทำการก่อสร้างชิดเขตที่ดินของชาวบ้านที่อยู่ติดกันจะต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินชิดติดกันมายืนด้วย  โดยตรวจสอบว่าอาคารดังกล่าวมีการสร้างชิดเขตเจ้าของที่ดินอื่นหรือไม่ถ้ามีการสร้างชิดเขตก็ต้องได้รับหนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้วยแจ้งความครบถ้วนของเอกสารทั้งหมดทั้งปวงนี้เมื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องแล้วจะต้องทำการตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนภายใน 7 วันซึ่งเรื่องนี้ผู้รับผู้ยื่นเอกสารโดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในการยื่นแบบก่อสร้างจะต้องควรทราบเพราะว่าจะได้ดำเนินการติดตามทวงถามเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าดำเนินการครบถ้วนหรือไม่อย่างไรในวันครบเวลาดังกล่าวเพื่อจะทำให้เราสามารถดำเนินกิจการหรือดำเนินงานในการก่อสร้างได้กระบวนการที่บอกว่า 7 วันนี้ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกฎหมายควบคุมอาคารซึ่งจะไปปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติวิ ปกครองแล้วพรบวิปกครองตอนนี้ได้ออกมาเป็นเอกสารควบคู่กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการอนุญาตอำนวยความสะดวกในการขออนุญาตของทางราชการซึ่งพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ได้มีการประสานกันพระราชบัญญัติวิปกครองกำหนดไว้ 7 วันซึ่งภายใน 7 วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมจะต้องทำการแจ้งผู้ยื่นขออนุญาตเพื่อให้ผู้รับยื่นใบขออนุญาติจัดหามาเพิ่มเติม



หลังผ่านพ้น 7 วันแล้วเนี่ยพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่สามารถที่จะขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมจากผู้ขออนุญาตก่อสร้างได้ยกเว้นยกเว้นเป็นเหตุที่ตามที่กฎหมายบังคับ ที่ต้องมี เช่นโฉนดที่ดินถ้าไม่มีโฉนดที่ดินก็ไม่สามารถที่จะอนุญาติให้ทำการก่อสร้างได้แล้วทำอะไรทางเจริญที่ไปขอเอกสารเพิ่มเติมและทักท้วงผู้ยื่นขออนุญาตหลังจากผ่านพ้นไปแล้ว 7 วันตามพระราชบัญญัติวิหคครองก็ถือว่าเป็นความผิดทางวินัย แล้วในพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกถ้าเป็นเรื่องความผิดวินัยเนี่ยนะครับเขาจะมีการตั้งกรรมการสอบเรื่องคดีอาญาด้วยเมื่อนั้นเจ้าหน้าที่ต้องจัดตรวจสอบเอกสารนั้นให้ครบถ้วนภายใน 7 วันให้ได้  ถ้าดูตามหลักการในวิปกครองเขียนไว้ว่าวิปกครองเหนือจะอยู่ในพระราชบัญญัติวิปกครองฉบับที่ 2 ปีพ. ศ. 2557   ได้กล่าวไว้ในขั้นตอนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนถ้าไม่ครบถ้วนให้ผู้ขออนุญาตยื่นยื่นเพื่อแก้ไขโดยถ้าเจ้าหน้าที่พบว่าเอกสารหลักฐานไม่ครบเจ้าหน้าที่จะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอแล้วก็ระบุเอกสารรายการต่างๆชื่อต้องการเพิ่มเติมให้ผู้ยื่นคำขอทราบแล้วสำเนาก็ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานโดยฉบับตัวจริงจะยื่นให้แก่ผู้ยื่นคำขออนุญาต     ในวิปกครองข้อต่อไปในมาตรา 27  วรรคสาม  สมมุติว่าเราขอเอกสารเพิ่มเติม 3 ชิ้นและได้รับเอกสาร 3 ชิ้นนั้นตามคำขอแล้วเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการพิจารณาอนุญาตไปตามขั้นตอนจะปฏิเสธไม่ได้เว้นแต่มีความจำเป็นหรือเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาค่าดำเนินการไม่ถูกต้องหรือล่าช้าตามเหตุผลดังกล่าวเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้จะถูกดำเนินการทางวินัยพ่อผมบอกว่ามันคุ้มกันแตกนั้น



หลังผ่านพ้น 7 วันแล้วเนี่ยพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่สามารถที่จะขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมจากผู้ขออนุญาตก่อสร้างได้ยกเว้นยกเว้นเป็นเหตุที่ตามที่กฎหมายบังคับ ที่ต้องมี เช่นโฉนดที่ดินถ้าไม่มีโฉนดที่ดินก็ไม่สามารถที่จะอนุญาติให้ทำการก่อสร้างได้แล้วทำอะไรทางเจริญที่ไปขอเอกสารเพิ่มเติมและทักท้วงผู้ยื่นขออนุญาตหลังจากผ่านพ้นไปแล้ว 7 วันตามพระราชบัญญัติวิหคครองก็ถือว่าเป็นความผิดทางวินัย แล้วในพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกถ้าเป็นเรื่องความผิดวินัยเนี่ยนะครับเขาจะมีการตั้งกรรมการสอบเรื่องคดีอาญาด้วยเมื่อนั้นเจ้าหน้าที่ต้องจัดตรวจสอบเอกสารนั้นให้ครบถ้วนภายใน 7 วันให้ได้  ถ้าดูตามหลักการในวิปกครองเขียนไว้ว่าวิปกครองเหนือจะอยู่ในพระราชบัญญัติวิปกครองฉบับที่ 2 ปีพ. ศ. 2557   ได้กล่าวไว้ในขั้นตอนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนถ้าไม่ครบถ้วนให้ผู้ขออนุญาตยื่นยื่นเพื่อแก้ไขโดยถ้าเจ้าหน้าที่พบว่าเอกสารหลักฐานไม่ครบเจ้าหน้าที่จะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอแล้วก็ระบุเอกสารรายการต่างๆชื่อต้องการเพิ่มเติมให้ผู้ยื่นคำขอทราบแล้วสำเนาก็ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานโดยฉบับตัวจริงจะยื่นให้แก่ผู้ยื่นคำขออนุญาต     ในวิปกครองข้อต่อไปในมาตรา 27  วรรคสาม  สมมุติว่าเราขอเอกสารเพิ่มเติม 3 ชิ้นและได้รับเอกสาร 3 ชิ้นนั้นตามคำขอแล้วเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการพิจารณาอนุญาตไปตามขั้นตอนจะปฏิเสธไม่ได้เว้นแต่มีความจำเป็นหรือเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาค่าดำเนินการไม่ถูกต้องหรือล่าช้าตามเหตุผลดังกล่าวเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้จะถูกดำเนินการทางวินัยพ่อผมบอกว่ามันคุ้มกันแตกนั้น
วันนี้เราก็มาพูดถึงพรบการอำนวยความสะดวกในปี 58 มีการเขียนมีรายละเอียดเพิ่มเติมถ้าขาดเอกสารให้แจ้งให้ผู้อื่นทราบทันทีแจ้งการแจ้งต้องทำเป็นเอกสารแจ้งไปแล้วคนนี้ก็มีการกำหนดระยะเวลาไว้ด้วยต้องมีการกำหนดระยะเวลาแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ เซ็นชื่อ  แต่ในพรบฉบับนี้ให้ผู้ยื่นคำขอต้องเซ็นชื่อด้วยสรุปแล้วว่าเ***ซ์หนังสือที่เราจะต้องขออะไรกับผู้ยื่นจะต้องมีชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ยื่นขออนุญาตเซ็นและก็ให้ผู้ที่ยื่นคำขออนุญาตเซ็นรับทราบด้วยเช่นกันพระมาพูดถึงมาตรา 8 วรรคสามในวรรคสามเหลี่ยมเขียนไว้ชัดว่าเมื่อเขาส่งเอกสารเพิ่มเติมมาแล้วเพิ่มเติมตามที่ขอมาจนครบแล้วจะเรียกเอกสารเพิ่มเติมอย่างอื่นอีกไม่ได้และ วรรคสามในวรรคสามเหลี่ยมเขียนไว้ชัดว่าเมื่อเขาส่งเอกสารเพิ่มเติมมาแล้วเพิ่มเติมตามที่ขอมาจนครบแล้วจะเรียกเอกสารเพิ่มเติมอย่างอื่นอีกไม่ได้และถ้าไม่และ วรรคสามในวรรคสามเหลี่ยมเขียนไว้ชัดว่าเมื่อเขาส่งเอกสารเพิ่มเติมมาแล้วเพิ่มเติมตามที่ขอมาจนครบแล้วจะเรียกเอกสารเพิ่มเติมอย่างอื่นอีกไม่ได้และถ้าไม่และถ้าได้รับเอกสารครบเรียบร้อยแล้วจะ วรรคสามในวรรคสามเหลี่ยมเขียนไว้ชัดว่าเมื่อเขาส่งเอกสารเพิ่มเติมมาแล้วเพิ่มเติมตามที่ขอมาจนครบแล้วจะเรียกเอกสารเพิ่มเติมอย่างอื่นอีกไม่ได้และถ้าไม่และถ้าได้รับเอกสารครบเรียบร้อยแล้วจะไม่อนุญาตไม่ ได้ 
ม่ทำการอนุญาต ถือว่าส่อไปในทางที่ไม่สุจริตว่าเป็นความประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจะได้ทำการดำเนินการทางวินัยและมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว
สมมุติว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่สำคัญที่ยังไม่ได้รับเพิ่มเติมบังเอิญว่าเอกสารนั้นน่ะถ้าเราไม่มีจะเป็นการผิดกฎหมายในลักษณะนี้เนี่ยให้ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อหรือทุจริตเลยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความประมาทเลินเล่อหรือการมีเจตนาทุจริตสามารถดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้หรือสามารถดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่คนที่รับพิจารณาอนุญาตได้ ชื่อเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการขออนุญาตการก่อสร้างอาคารหรือการต่อเติมอาคารซึ่งมาตรา๑๐ของพรบอำนวยความสะดวกในท่านเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่มีการพิจารณาไม่ทันตามระยะเวลาที่คู่มือกำหนดเขาให้รายงานความก้าวหน้าให้ผู้ขออนุญาตครบทุก 7 วันหลังจากนั้นให้รายงานต่อผู้ขออนุญาตพก 7 วันถ้าไม่แจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบตามระยะเวลาที่คู่มือกำหนด  เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นซึ่งความหมายว่าถ้าเราไม่สามารถทำตามกำหนดระยะเวลาที่คู่มือกำหนดไว้ได้เราต้องรายงานให้ผู้ขออนุญาตทราบทุกทุก 7 วันเกี่ยวกับว่าใบอนุญาตหรือขั้นตอนในการขออนุญาตอยู่ในขั้นตอนไหนบ้างในระยะเวลาดังกล่าวถ้าไม่รายงานตามเหตุผลดังกล่าวถือว่ามีความผิดทำให้บุคคลอื่นได้รับความมเสียหายซึ่งอภัยเรามาดูกฎหมายวิปกครองกับพระราชบัญญัติอํานวยความสะดวก  จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบ
ในขณะที่เรากำลังดำเนินการตรวจสอบเอกสารและข้อมูลของผู้ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างอยู่สิ่งที่เราจะดำเนินการควบคู่กันไปก็คือเราต้องออกไปตรวจสอบสถานที่ก่อน เนื่องจากในปัจจุบันมีการก่อสร้างอาคารที่ไม่อยู่ในพื้นที่ที่ทำการขออนุญาตก่อสร้างซึ่งโฉนดที่ดินอยู่อีกที่หนึ่งแต่พอดำเนินการก่อสร้างไปดำเนินการก่อสร้างอีกสถานที่หนึ่งซึ่งในเรื่องนี้จะเกิดในกรณีปัญหาในที่ดินที่มีการจัดสรรโดยลักษณะของที่ดินจัดสรรเหนือโดยทั่วไปจะมีการก่อสร้างที่ผิดแปลงที่ยื่นขออนุญาตไว้มาก ซึ่งในลักษณะที่เราเข้าไปดำเนินการตรวจสอบจะเป็นการเช็คตรวจสอบว่าการก่อสร้างถูกต้องตามแบบมารยาทที่ของก่อสร้าง
--------------------------------------------------------------------------------


วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

C- INNOVATIO


เรื่อง วัสดุอุดรอยต่อ
งานช่างเป็นการทำงานที่กี่ยวข้องกับวัสดุ อุปกรณ์  และเครื่องมือหลายอย่าง ที่ต้องนำมาช่วยในการทำงาน   อย่างวัสดุในงานก่อสร้าง ต้องมีการต่อ การเสริม เพิ่ม ลด  ถ้าสั้นก็ต้องต่อ ถ้ายาวก็ต้องตัด แล้วก็นำมาต่อ นี้ก็เป็นเนื้องานปกติของการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นงานไฟฟ้า ประปา ต่างก็ต้องทำการใช้วัสดุอุดรอยต่ออยู่กันเป็นประจำ เพื่อให้งานที่ข้อต่อนั้นต้องเชื่อมกันให้สนิท การเลือกใช้วัสดุมาอุดรอยต่อนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา ในการหาวัสดุที่ที่มีคุณภาพ เหมาะสมมาใช้งาน


            วัสดุอุดรอยต่อ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Sealant  ซึ่งหมายถึง วัสดุที่นำมาใช้ในการปิดรอยต่อ ระหว่างวัสดุกับวัสดุประเภทเดียวกัน หรือต่างประเภทกันก็ได้ เพื่อให้วัสดุนั้นเกิดการเชื่อมต่อกันได้ดี ไม่มีรอยรั่ว รอยร้าว หรือรอยแยก เพื่อป้องกัน รอยรั่ว ทั้งป้องกันไม่ให้น้ำ ฝุ่น อากาศ ผ่านเข้ามาตรงช่องรอยที่ต่อนั้นได้  โดยทั่วไปแล้ววัสดุที่นำมาใช้ในการอุดรอยต่อของวัสดุกับวัสดุนี้ เรียกว่า กาว   และกาวที่นำมาใช้นี้ก็มีหลายประเภท หลายชนิด และมีระดับคุณภาพ  ตามประเภทของการใช้งานและเรื่องของราคา  ซึ่งกาวเหล่านี้ถ้านำมาใช้งานจะทำหน้าที่ในการเชื่อมหรือประสานวัตถุเข้าด้วยกัน
            โดยทั่วไปแล้วกาวที่จำนำมาใช้เป็นวัสดุอุดรอยต่อนี้ ต้องมีคุณสมบัติกึ่งของเหลว  และยืดหยุ่นในตัวสามารถแทรกซึมเข้าไปบริเวณช่องว่างของรอยต่อนั้นได้แล้วค่อยแข็งตัวและขยายตัวเชื่อมวัสดุที่ต่อนั้นเข้าด้วยกัน ติดกันอย่างสนิท  ซึ่งตรงข้อต่อนั้นจะสามารถยืดหยุ่น ขยับตัวได้เล็กน้อย ซึ่งคุณสมบัติตรงนี้เองจะทำให้วัสดุที่ต่อกันนั้นไม่แตกร้าว
            ในงานก่อสร้างการใช้วัสดุอุดรอยต่อ นับว่ามีความสำคัญไม่ด้อยกว่างานอื่น ในงานโครงสร้างทุกประเภท  เพราะรอยต่อแต่ละช่วงนั้น จะต้องสอดคล้องกับการออกแบบที่วางไว้ (Construction)โดยเฉพาะการต่ออุดรอยต่อระหว่างโครงสร้างที่มีลักษณะการออกแบบ  แบบยาวของงานโครงสร้างที่ต่อเนื่องกัน

จึงจำเป็นต้องต่อและอุดรอยต่อวัสดุนั้น  เพื่อให้เป็นไปตามแบบและขณะเดียวกันและเป็นการรองรับการหดตัว  การขยายตัวของวัสดุที่เป็นโครงสร้างของงานนั้นด้วย
            ยกตัวอย่าง ในการออกแบบงานของสถาปนิก ในรายละเอียดของการออกแบบโครงสร้างนั้นจะจุด มีมุมต่าง ๆ  ที่จะเป็นรอยต่อของวัสดุเกิดขึ้นมากมาย  ที่งานโครงสร้างภาคสนามต้องใช้วัสดุเข้ามาอุดรอยต่อนั้นเพื่อให้งานจบตรงตามแบบ อย่างเช่น งานประเภทบานประตู  หน้าต่าง  งานอลูมิเนียม  งานผนังที่ก่อฉาบปูน รอยต่อระหว่างฝ้าเพดานกับตัวผนัง  งานรอยต่อในข้อต่าง ๆ  ของฟอร์นิเจอร์ และอื่น ๆ  อีกมากมาย  ซึ่งเราจะเห็นว่าการใช้วัสดุอุดรอยต่อนั้นมีความจำเป็นอย่ามาก ในงานก่อสร้างทุกประเภท
            ส่วนวัสดุในวงการช่างก่อสร้าง ในนำวัสดุอุดรอยต่อมาใช้ในงานนั้น  มีหลายชนิด และได้แบ่งออกตามคุณสมบัติของการใช้งาน มีดังนี้
            อะคริลิก (ACRYLICSEALANT)
            อะคริลิก เป็นวัสดุอุดรอยต่อ ที่มีส่วนผสมของวัสดุโพลิเมอร์  ประเภท คาร์บอน โฮโดรเจน และอ๊อกซิเจน  โดยใช้น้ำเป็นส่วนผสม ในการทำลาย (Water Based)ให้ละลายตัว และเมื่อแข็งตัวจะไม่ละลายอีกอะคริลิกจะมีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับแป้งกาวลาแท๊ก (Latex)ที่ใช้ติดกระดาษทั่วไป แต่อะคริลิก ในวงการช่างเรียกว่า แด็ป(DAP)ส่วนชื่อ อะคริลิก เป็นชื่อผลิตภัณฑ์ เจ้าแรก ที่นำมาจำหน่วยในท้องตลาด  และต่อมาก็มีผลิตภัณฑ์ที่ชื่อยี้ห้ออื่น  แต่มีคณสมบัติการใช้งานเหมือนกัน แต่ก็เรียกติดปากว่า แด็ป  (DAP)  เหมือนกับผงซักผ้าและทำความสะอาด  แม้จะซื้อยี้ห้ออื่น แต่ก็ยังเรียกว่า แฟ็บ อยู่นั้นเอง
            อะคริลิก  มีคุณสมบัติในการใช้งานคือ มีความยืดหยุ่น มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ดินฟ้า อากาศได้น้อย  คือข็งตัวเร็ว จึงเหมาะสำหรับการใช้งานที่อุดรอยต่อวัสดุที่ต้องการงานด่วน งานเร็ว และมีเวลาค่อนข้างจำกัด  ดังนั้นช่างจึงนิยมนำมาใช้ในงานอุดรอยต่อภายในของงานเฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งภายใน อื่น ๆ   ด้วยจุดเด่นของอะคริลิก มีคุณสมบัติแห้งเร็ว ประสานวัสดุได้ดี  ง่ายต่อการขัดและแต่งผิวของวัสดุตรงรอยต่อ  แล้วทาสี พ่นสีทับได้เรียบง่าย กลมกลืน เงางาม นั้นเอง



            นอกจากนั้นอะคริลิกยังสามารถใช้ได้กับวัสดุผิวขรุขระและผิวเรียบ  โดยมีขายในท้องตลาดทั่วไปราคาไม่แพงแต่ก็มีหลายราคาหลายเกรดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมแต่ละประเภทการใช้งานและงบประมาณด้วยที่ต้องการ ในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อบางยี่ห้อพบเป็นหลอดทรงกระบอกปลายแหลมเพื่อใช้สำหรับงานช่ในช่องลึกเล็กๆได้อีกด้วย
            โพลียูรีเทน
โพลียูรีเทน  (PolyureThane)  หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า  พียู ( PU)  เป็นสารเคมีประเภทพลาสติก เทอร์โมเซต  คือ เป็นวัสดุที่ไม่สามารถหลอมเหลวขึ้นมาใหม่ได้  สารประเภทนี้ต้องใช้น้ำมันเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการละลายโดยเป้าหมายผลิตขึ้นมาเพื่อทดแทนการใช้ยางจากธรรมชาติ


            โพลียูริเทนนี้ป็นสารประกอบอินทรีย์ ถ้านำไปเผาไฟจะเกิดการหดตัว  ย่อยสลายง่าย ขณะเดียวกันก็จะเกิดควันสีดำ  เมื่อถูกละลายด้วยน้ำมันจะมีลักษณะยืดหยุ่น  ผิวยุบมีความทนต่อสภาพแวดล้อมและความร้อนในระดับปานกลางเมื่อแข็งตัวแล้วสามารถปรับแต่งผิวรูปทรงและทาสีได้
            โพลียูรีเทนนำไปใช้ได้กับวัสดุผิวเรียบและผิวขรุขระไม่เป็นอุปสรรคใดๆแม้วัสดุนั้นจะมีฝุ่นเกาะติดก็ตาม  ส่วนราคาขายในท้องตลาดจะมีราคาสูงกว่าอะคริลิคเนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความพิเศษที่สามารถใช้ได้   กับวัสดุที่มีผิวไม่สะอาดและมีฝุ่นเกาะได้ดี  จึงเหมาะกับการอุดต่อวัสดุที่อยู่ภายนอกได้ดี  แต่บางครั้งก็มีจุดด้อย คือไม่สามารถทนต่อรังสี UV ได้มากนะ ถ้าใช้ไปนานๆ   ต้องบำรุงรักษาตามระยะเวลาที่กำหนด  จะเกิดรอยเสื่อมสภาพอย่างน้อยประมาณ 3-4  ปี 

             ผลิตภัณฑ์ยูรีเทน   จะมีหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายในท้องตลาด มีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมเรื่องราคาจะอยู่ตรงกลางหมายความว่าจะราคาสูงกว่าอะคริลิคแต่ราคาต่ำกว่าซิริโคน(Silicone Sealant)
  
ซิลิโคน  (Silicone Sealant)   
ถ้าเราพูดถึงส่วนมากจะนึกถึงทางศัลยกรรมตกแต่งเสริมความงามของผู้หญิงหรือบรรดาพวกแปลงเพศที่นิยมใช้ซิลิโคนมาทำจมูกเสริมหน้าอกแต่ละวงการก่อสร้างก็มีการนำซิลิโคนมาใช้งานเช่นกัน  แต่อาจจะใช้แยกประเภทหรือแยกตามคุณสมบัติของการใช้งาน


            เครื่องซิลิโคนที่นำมาใช้ในงานช่าง  งานอุตสาหกรรมก่อสร้างจะเป็นวัสดุประเภทอุตรอยต่อที่ทำมาจากพวกโพลิเมอร์  ที่มีองค์ประกอบของซิลิคอน  คาร์บอน   ออกซิเจน และไฮโดรเจน  ซึ่งเป็นสารประกอบประเภทอนินทรีย์ ( Inorrganic Based) 
            เป็นสารที่อยู่ในรูปกึ่งของเหลว  มีความยืดหยุ่นสูงโดยวงการก่อสร้างหรือช่างที่นำมาใช้เป็นวัสดุอุดรอยต่อหรืออุดรอยรั่วมีว่าซิลิโคนเนื่องจากมีคุณสมบัติสามารถนำมาใช้กับงานได้สารพัดประโยชน์มากมายจึงเรียกกันต่อมาจนเคยชินว่าซิลิโคน  อย่างไรก็ตามเนื้อสารของสิริโคน นั้นจะไม่สามารถประสานวัสดุได้อย่างสมบูรณ์  ถ้านำไปใช้งานกับวัสดุที่มีฝุ่นละออง  หรือวัสดุที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อน จะส่งผลให้ซิลิโคนไม่สามารถ เกาะติดกับวัสดุ นั้นได้อย่างคงทน

            ส่วนเรื่องราคาสูงกว่าวัสดุอื่นอื่นๆที่ได้กล่าวมาแล้ว เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีกว่ามีคุณภาพดีกว่า มีคุณสมบัติคงทนต่อรังสีแสงแดดได้มาก   อีกทั้งมีความยืดหยุ่นต่องานก่อสร้างได้ดี โดยเฉพาะงานเข้าขอบประตูหน้าต่างหรือขอบกระจกมีความทนต่อสภาพแวดล้อมได้มากแต่มีข้อด้อยเพียงเล็กน้อย   คือต่อในกาประสิทธิภาพการใช้งานจะลดลง  ถ้าใช้งานกับวัสดุที่มาสะอาด มีคราบหรือฝุ่น  มีสิ่งสกปรกปนเปื้อน
           
ในปัจจุบัน  ซิลิโคนที่นำมาใช้ในวงการก่อสร้างหรือช่างนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทมีแบบที่มีกรดและแบบที่ไม่มีกรด
ประเภทไม่มีกรด  (Neutral Cure) ซิลิโคนประเภทนี้จะมีฤทธิ์เป็นกลางเนื้อของวัสดุจะออกสีใส  ดูขุนมั่ว ไม่ค่อยสดใส  เมื่อใช้งานจะมีปฏิกิริยาแข็งตัวช้า  เมื่อแห้งแล้วจะแข็งคงทนน้อยแต่มีความยืดหยุ่นได้ดี

ประเภทมีกรด (AectieCure)  วัสดุประเภทนี้เราจะสังเกตได้จากกลิ่น ในขณะเปิดออกใช้งานจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเมื่อละหวยออกมาให้สัมผัสได้มีคุณสมบัติแข็งตัวเร็ว ติดแน่น  เร็วเพียงไม่กี่วินาที  เหมาะสำหรับใช้งานประเภทตกแต่งเข้ารูปรอยต่อกระจกต่อกระจกอลูมิเนียมต่อกับอลูมิเนียมจะมีแรงยึดติดเกาะแน่นแข็งแรง
                                  ดังนั้นการนำวัสดุประเภทอุดรอยต่อมาใช้ในการทำงานช่างก็ควรที่จะศึกษาคุณสมบัติของวัสดุหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก่อน เพราะว่าแต่ละประเภท ของผลิตภัณฑ์จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ว่าเมื่อใช้กับวัสดุนั้นนั้นจะ มีผลต่อคุณภาพ ประสิทธิภาพของงานได้ดี อย่างไร

-----------------------------------------------------------------------------------