วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พงศาวดารจีน เลียดก๊ก เล่ม ๑ (ตอน สร้างเมือง)


ขณะนั้นมีผัวเมียสองคน ผัวชื่อซูตายเป็นคนเข็ญใจบานอยู่นอกเมือง เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด ครั้นเพลารุ่งเช้าซูตายแบกเกาทัณฑ์ ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองหลวงพบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เปกเอียงอูกราบทูลว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง บัดนี้ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมือง สมกับคำทำนายต้องด้วยรับสั่งห้ามโทษถึงตาย โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่าขายของต้องห้าม ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่าคนขายลูกเกาทัณฑ์ โจหยีจับไปกราบทูล มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง ครั้นพ้นบ้านคนจึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก ซูตายเดินเข้าไปใกล้นกกาก็บินไปสิ้น จึงแก้กระสอบดูเห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ ก็รู้ว่ายังไม่ตาย มีความสงสัยนัก จึงคิดว่าทารกนี้มีวาสนา เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้วยังหาตายไม่ บัดนี้ภรรยาเราก็ตายแล้วบุตรก็ไม่มี จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิด นานไปเมื่อหน้าถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้างเราจะได้พึ่ง ซูตายก็อุ้มเด็กขึ้นจากกระสอบอาบน้ำชำระให้สดใสแล้วก็พาไปบ้านโปเสีย
                      ขณะเมื่อซูตายได้หญิงทารกไป พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเข้าไปบรรทม ในราตรีวันนั้น เวลาประมาณสามยามเศษ ทรงพระสุบินนิมิตว่า อิสตรีผู้หนึ่งรูปงามเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง หัวเราะแล้วร้องไห้ วิ่งขึ้นไปพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ ซึ่งทำไว้บูชา ณ หอไทเบี้ยว หนีไปทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยตื่นจากที่บรรทม พอเวลาย่ำรุ่งจึงเสด็จไปเปิดประตูหอไทเบี้ยว ทอดพระเนตรรูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ก็ปรกติอยู่สิ้น จึงให้เจ้าพนักงานสมโภชตามธรรมเนียม แล้วเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสเล่าความสุบินให้เปกเอียงอูฟังทุกประการ เปกเอียงอูพิจารณาดูในลักษณะสุบินแล้วทูลว่า พระสุบินนี้พิเคราะดูเนื้อความต้องกันกับหญิงทารกซึ่งเป็นอุบาทว์เมือง เบื้องหน้านานไปเมืองโกเก๋งจะเกิดวิบัติเพราะอิสตรี เมืองหลวงจะต้องยักย้ายไปตั้งอยู่ทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นยิ่งไม่สบายพระทัยหนัก จึงตรัสว่าโตเบ๊กเราให้ไปสืบดูลูกหญิงที่เป็นอุบาทว์เอาไปลอยน้ำนั้น จะเป็นหรือตาย ได้หรือมิได้ประการใดก็มิได้บอก โทษตัวก็ถึงตาย พระเจ้าชวนอ๋อง ก็สั่งโปซูให้เอาตัวโตเบ๊กไปฆ่าเลย ไปซูเข้าผูกมัดโตเบ๊กออกไปจากที่เฝ้า โจหยีจึงทูลว่าพระองค์จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียเพราะข้อผิดด้วยรับสั่งให้ไปเที่ยวสืบทารกนั้น โตเบ๊กก็ไปเที่ยวสืบแสวงหามิพบ ได้เข้ามาเฝ้าอยู่ทุกเวลา พระองค์ไม่ตรัสถามจึงมิได้กราบทูลให้ทราบนั้น โตเบ๊กมีความผิดแต่เพียงนี้ จะให้ลงโทษถึงตายประหารชีวิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นกิติศัพท์จะลือเลื่องไปแก่หัวเมืองทั้งปวง จะมีผู้นินทาว่าแต่ความผิดนิมิตฝันไม่สู้ดีเท่านี้ ก็ให้ฆ่าขุนนางเสีย ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานชีวิตโตเบ๊กไว้ ทรงตรึกตรองก่อน แม้นพระองค์มิฟังข้าพเจ้าทัดทาน จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียจงได้ ก็ขอให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยเถิด
                      พระเจ้าชวนอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระโกรธจึงให้ขับโจหยีไปเสียจากที่เฝ้า ฝ่ายทหารคุมตัวโตเบ๊กออกไปถึงตะแลงแกงที่พิฆาตคน ก็ฆ่าโตเบ๊กเสียตามคำสั่ง โจหยีครั้นมาถึงบ้านมีความน้อยใจพระเจ้าชวนอ๋องไม่ฟังคำ ถอดกระบี่ออกจากฝักเชือดคอตาย ในขณะนั้นมีผู้นำเนื้อความขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องครั้นทราบความว่าโจหยีตายก็มีความอาลัยนักด้วยโจหยีเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ฝ่ายโตสิบชกเมื่อพระเจ้าชวนอ๋องให้ฆ่าโตเบ๊กผู้บิดาเสียแล้ว ก็หนีไปทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองจีน เจ้าเมืองจีนเห็นว่าโตสิบชกมีสติปัญญา จึงตั้งโตสิบชกเป็นเสียงไต่หูขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน และเมื่อพระเจ้าชวนอ๋องเสวยราชสมบัติได้สี่สิบหกปี ให้ฆ่าขุนนางสองคนเสียไม่สบายนัก ครั้น ณ เดือนเก้าเป็นฤดูเคยเสด็จไปเที่ยวป่า จึงสั่งอืนเกียดอูกับเตียวเอาให้ตรวจเตรียมทหารพร้อมแล้ว พระเจ้าชวนอ๋องขึ้นรถเทียมม้าเสด็จออกจากเมืองหลวงไปประพาสป่าตำบลตังเก๋า ประทับแรมอยู่ ณ ตำหนักไพร พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเที่ยวชมเนื้อนกกับขุนนางจนเวลาเย็นตะวันยอแสง ขณะนั้นทอดพระเนตรเห็นโตเบ๊กกับโจหยีขี่เกวียนตรงมาหน้ารถ แล้วโก่งเกาทัณฑ์จะยิง พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยกลัวปิศาจ ตรัสร้องให้ขุนนางทั้งปวงดู ขุนนางทั้งปวงต่างแลดูไปมิได้เห็นก็พากันยืนตะลึงอยู่สิ้น พระเจ้าชวนอ๋องจึงแข็งพระทัยร้องตวาดปิศาจว่า ท่านทั้งสองตายมิดี เหตุใดจึงเข้ามาขวางหน้ารถเราอยู่ฉะนี้ จงไปเสียให้พ้น โตเบ๊กปิศาจจึงว่าเราหามีผิดไม่ ท่านไม่อยู่ในยุติธรรมให้ฆ่าเราเสีย บัดนี้ ท่านถึงกำหนดจะสิ้นบุญแล้วเราจะฆ่าท่านเสียบ้าง ว่าแล้วปิศาจทั้งสองก็ยิงเกาทัณฑ์มาถูกพระทรวง พระเจ้าชวนอ๋องล้มลงบนรถสลบลง ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนตกใจ บ้างขึ้นไปบนรถอยู่งานนวดเฟ้นแก้ไขอยู่ช้านาน พระเจ้าชวนอ๋องจึงได้สมประดีขึ้นมา ให้เจ็บหน้าทรวงเป็นกำลัง ก็กลับรถที่นั่งเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวัง ขุนนางพยุงพระองค์เข้าไปถึงที่บรรทม พระเจ้าชวนอ๋องประชวรอยู่ในที่ ให้เห็นแต่รูปปิศาจทั้งสองติดพระเนตรอยู่ ก็ประชวนหนักลงทุกเวลา แพทย์ทั้งปวงถวายยาก็มิได้เสวย จึงให้หาอืนเกียดอูกับเตียวเอาเปกเอียงอูขุนนางผู้ใหญ่สามคนเข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่าเราได้ยินเด็กทำเพลงด้วยลูกเกาทัณฑ์ ท่านทำนายว่าลูกเกาทัณฑ์จะเป็นศัตรูแก่เราก็ถูกต้องดังคำท่าน ตั้งแต่นี้ไปเราจะมิได้เห็นหน้าท่านต่อไปแล้ว ซึ่งเราได้เป็นสุขอยู่ในราชสมบัติมาได้สี่สิบหกปีแล้ว เพราะท่านช่วยทะนุบำรุง แม้นเราเสียชีวิตไปแล้วราชสมบัติทั้งนี้ ท่านจงให้ไทจูจงเลียบเถิด ท่านจงเมตตาช่วยสั่งสอนให้ว่าราชการบ้านเมืองให้เป็นยุติธรรม อย่าให้อย่างธรรมเนียมแผ่นดินนั้นผิดไป ขุนนางทั้งสามได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็ชวนกันร้องไห้รำพันไปต่างๆ แล้วเปกเอียงอูจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระองค์ก็ตกแล้ว ซึ่งไทจูจงเลียบพระราชบุตร จะได้ครองราชย์สมบัติแทนพระองค์ไปนั้น ข้าพเจ้าทั้งสามจะช่วยทะนุบำรุงอย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าชวนอ๋องก็สวรรคต ขุนนางทั้งปวงก็ทำการฝังพระศพอย่างกษัตริย์แต่ก่อน

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขียนต้นฉบับบนโลกออนไลน์

เขียนต้นฉบับคำนี้ต่างจากในอดีตที่ใช้คำว่าเขียนต้นฉบับ เฉพาะเกี่ยวกับการเขียนนวนิยาย การเขียนเรื่องสั้นแต่มาถึงยุคต่อมาเป็นการเขียนประเภท Pocketbook การเขียนบทความทางวิชาการ การเขียนบทละคร การเขียนนิยายประเภทโรมาน ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เริ่มต้นมาจากงานที่เรียกว่า การเขียนต้นฉบับ
          การเขียนต้นฉบับของนักเขียนเมื่อมาถึงยุคออนไลน์ เริ่มมีรูปแบการเขียนแบบใหม่ที่มีเป้าหมายการเขียนเปลี่ยนไป โครงสร้างการเขียนยังไม่เผยแพร่อยู่ในวงกว้าง หรือยังมีผู้ที่เข้าใจในเรื่องนี้น้อยมากส่วนมากแล้วจะอยู่ในแวดวงของผู้ที่ใช้งานทางด้านการตลาดออนไลน์ ส่วนผู้ที่เขียนงาน ประเภทนวนิยาย ประเภทเรื่องสั้น ก็มาแน่ใจว่าจะเข้าใจงานเขียนประเภทนี้หรือไม่เพราะเป็นวิธีการเขียนที่เกิดจากเป้าหมายไม่เหมือนกัน การเขียนต้นฉบับเป็นการเขียนเพื่อหมายคล้าย ๆ กับการโฆษณาสินค้า และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และสินค้าเป็นการเขียนเน้นเชิงธุรกิจ ไม่ใช่การเขียนงานแบบบันเทิงเหมือนทั่ว ๆ ไป ที่คนคุ้นเคยกัน
          การเขียนต้นฉบับที่นำมาลงเผยแพร่บน
Web Site มีเป้าหมายในการทำ SEO  หรือการทำ SEM ที่ทำให้เป็นการจัดอันดับในการค้นหา Web Site ดีขึ้น การเขียนลักษณะนี้ไม่ใช่การเขียนเพื่อตีพิมพ์ในหนังสือหรือนิตยสาร ที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไป  เป็นการเขียนต้นฉบับเพื่อเผยแพร่บน Web Site ที่ให้สาระ ความรู้เกี่ยวการโฆษณา  ประชาสัมพันธ์ เป็นการเขียนเชิงวิชาการ เขียนขึ้นในแนวพรรณนาอธิบายถึงรายละเอียด และคุณภาพของสินค้า และผลิตภัณฑ์ โดยมีนัยแนวทางหรือเป้าหมายการเขียนมากกว่าการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม เพราะการเขียนข้อความ เนื้อหาลงบนเว็บไซต์ เมื่อเผยแพร่ลงไปแล้วไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก และเป็นการสื่อสารให้ลูกค้าได้เข้าใจทีมีผลต่อการทำธุรกิจและการขาย แต่ต้นกำเนิดของกิจกรรมงานทั้งปวง ล้วนมาจากการเขียนต้นฉบับ ที่มีเป้าหมายแทบทั้งสิ้น

           การเขียนบทความ SEO เป็นเรื่องใหม่สำหรับนักเขียนไทย แต่ถ้าเป็นประเทศในแถบยุโรบจะมีการเขียนและมีการ การจ้างคนเขียนการทำ SEO อยู่ในราคา ชั่วโมงละ 3,500 ถึง 4,500 บาท ส่วนในประเทศไทยก็กำลังมีการตื่นตัว ในการทำกิจกรรมการตลาด โดยเริ่มมีการจ้างนักเขียนให้เขียน งานเขียนต้นฉบับ แนวบทความ SEO แต่ราคาบทความละไม่ถึง 50 บาท แต่อยากได้คุณภาพของงานที่ดีมีประสิทธิภาพ นักเขียนที่เก่ง ๆ หนีหมด มีแต่คนเขียนงานที่เริ่มหัดเขียน เพื่อทดสอบฝีมือเท่านั้น แล้วเจ้าของธุรกิจต่างหวังไว้สูงว่าธุรกิจจะขึ้นแท่นได้รับการค้นหาได้เร็วจากผู้บริโภค ก็ต้องร้องเพลงรอต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์และเว็บไซต์จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าในขณะที่ การแข่งขันทางการตลาดยังรุนแรงเช่นนี้ เพราะขี้เหนียวเงินจ้าง นักเขียนต้นฉบับที่มีคุณภาพมาทำ SEO นั้นเอง

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขียนต้นฉบับ SEO

เขียนต้นฉบับ เป็นงานเขียนที่เป็นขั้นตอนก่อนนำออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ สมัยก่อนนิยมเผยแพร่ตามสื่อสิ่งพิมพ์ แต่งานเขียนที่ เขียนเป็นต้นฉบับ ปัจจุบันสามารถลงในสื่อประเภท Social network ได้และสื่อที่กำลังมาแรงแบบสุด สุด ในยุคนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก facebook คนในประเทศไทยมียอดผู้อย่างไม่เป็นทางการ (เดือนตุลาคม 2555) ทะยานขึ้นไปมากกว่า 20 ล้านคนแล้ว ด้วยความที่ฟังชั่นใน facebook โดนใจกับคนหลายวัย แต่ละวันจะมีผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวในโลกของ facebook  ล้านคนนี้ยังไม่ร่วมประเทศอื่น จึงนับว่าพื้นที่โลกแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจของนักธุรกิจที่มองถึงผลประโยชน์อย่างมหาศาล ที่จะกำหนดพื้นที่ฟรีและต้นทุนต่ำลงตรงนี้มาทำกิจกรรมทางการตลาดได้หลายรูปแบบเพื่อการสื่อสารกับลูกค้า
        แต่การสื่อสารต้องมีการเขียนที่เรียกว่า เขียนต้นฉบับ เพื่อนำเนื้อความมาลงในการทำความเข้าใจกับผู้บริโภค ในหลักการเขียนต้นฉบับในสื่อออนไลน์ปัจจุบัน เปลี่ยนไปจากการเขียนต้นฉบับแบบเดิมที่เขียนต้นฉบับประเภทนวนิยาย  เรื่องสั้นสารคดี ที่มีแนวการเขียนต้นฉบับที่มีโครงสร้างเป็นของต้นเอง แต่ในยุคนี้การเขียนเนื้อหาเรื่องใดๆ โดยเฉพาะการทำธุรกิจแล้วทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎของคำว่า
SEO  คำว่า SEO เป็นการเขียนนอกจากจะสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารกับผู้บริโภคแล้ว เนื้อความในการเขียนงานนั้นต้องมีผลต่อการจัดลำดับ SEO (SEO เป็นการทำให้เว็บไซต์มีระดับการค้นหาของผู้บริโภคให้ง่ายขึ้น) ค้นหาง่ายแล้วได้อะไร คำถามนี้มีคำตอบ เพราะการทำธุรกิจสมมติว่าคุณเปิดร้านค้าอยู่ท้ายซอยเพราะความจำกัดหลายอย่าง แต่ก็ต้องการให้คนรู้จักร้านและเข้ามาร้านของเราเพื่อซื้อของ การทำ SEO ก็เช่นกันเป็นวิธีการเรียกลูกค้ามายังร้านค้า (เว็บไซต์ของกิจการ)  แต่การความรู้ประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะใครที่มีร้านบนโลก Internet ต่างก็ต้องการให้คนเข้ามา ผู้บริหารการตลาดต่างพยามศึกษาวิธีการทำงานของ SEO กันอย่างจริงจัง การเขียนงาน ต้นฉบับ เพื่อนำไปทำ SEO แต่จะมีใครบ้างที่เขียนได้และรับรองว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีผู้ที่เขียนได้แบบมืออาชีพ แต่ก็ได้รับค้าเขียนต้นฉบับ เพื่อนำไปลงเว็บไซต์ทำ SEO ด้วยราคาที่ตำมากเพียง บทความละ 35 บาท แต่คนที่รับงานมาทำได้ราคาเป็นหมื่น แต่อยากได้งานที่มีคุณภาพและตั้งเงือนไขการเขียนต้นฉบับประเภทนี้ไว้มากมาย แล้วมืออาชีพที่ในเขาจะเขียนให้เพราะราคานี้เขาอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเขียนต้นฉบับราคานี้ไปวิ่งวินมอเตอร์ไซต์รับจ้างที่ไม่ต้องใช้สมองอะไรยังได้ราคามากกว่าหลายเท่า ดังนี้เจ้าของกิจการที่หวังว่าการเขียนต้นฉบับที่มรการจ้างเขียนต่อ ราคาบทความละ 35 บาท แต่ท่านหวังผลให้เกิดมูลค่ากับกิจการ เป็นล้านล้านบาท มันชั่งไม่สมเหตุผลกันจริง ๆ ท่านเจ้าของกิจการยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล แต่ถูกคนที่มองคุณค่าของงานเขียนต่ำมาทำลายท่านอย่างน่าเสียดาย