วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พงศาวดารจีน เลียดก๊ก เล่ม ๑ (ตอน สร้างเมือง)


ขณะนั้นมีผัวเมียสองคน ผัวชื่อซูตายเป็นคนเข็ญใจบานอยู่นอกเมือง เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด ครั้นเพลารุ่งเช้าซูตายแบกเกาทัณฑ์ ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองหลวงพบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เปกเอียงอูกราบทูลว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง บัดนี้ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมือง สมกับคำทำนายต้องด้วยรับสั่งห้ามโทษถึงตาย โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่าขายของต้องห้าม ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่าคนขายลูกเกาทัณฑ์ โจหยีจับไปกราบทูล มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง ครั้นพ้นบ้านคนจึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก ซูตายเดินเข้าไปใกล้นกกาก็บินไปสิ้น จึงแก้กระสอบดูเห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ ก็รู้ว่ายังไม่ตาย มีความสงสัยนัก จึงคิดว่าทารกนี้มีวาสนา เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้วยังหาตายไม่ บัดนี้ภรรยาเราก็ตายแล้วบุตรก็ไม่มี จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิด นานไปเมื่อหน้าถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้างเราจะได้พึ่ง ซูตายก็อุ้มเด็กขึ้นจากกระสอบอาบน้ำชำระให้สดใสแล้วก็พาไปบ้านโปเสีย
                      ขณะเมื่อซูตายได้หญิงทารกไป พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเข้าไปบรรทม ในราตรีวันนั้น เวลาประมาณสามยามเศษ ทรงพระสุบินนิมิตว่า อิสตรีผู้หนึ่งรูปงามเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง หัวเราะแล้วร้องไห้ วิ่งขึ้นไปพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ ซึ่งทำไว้บูชา ณ หอไทเบี้ยว หนีไปทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยตื่นจากที่บรรทม พอเวลาย่ำรุ่งจึงเสด็จไปเปิดประตูหอไทเบี้ยว ทอดพระเนตรรูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ก็ปรกติอยู่สิ้น จึงให้เจ้าพนักงานสมโภชตามธรรมเนียม แล้วเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสเล่าความสุบินให้เปกเอียงอูฟังทุกประการ เปกเอียงอูพิจารณาดูในลักษณะสุบินแล้วทูลว่า พระสุบินนี้พิเคราะดูเนื้อความต้องกันกับหญิงทารกซึ่งเป็นอุบาทว์เมือง เบื้องหน้านานไปเมืองโกเก๋งจะเกิดวิบัติเพราะอิสตรี เมืองหลวงจะต้องยักย้ายไปตั้งอยู่ทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นยิ่งไม่สบายพระทัยหนัก จึงตรัสว่าโตเบ๊กเราให้ไปสืบดูลูกหญิงที่เป็นอุบาทว์เอาไปลอยน้ำนั้น จะเป็นหรือตาย ได้หรือมิได้ประการใดก็มิได้บอก โทษตัวก็ถึงตาย พระเจ้าชวนอ๋อง ก็สั่งโปซูให้เอาตัวโตเบ๊กไปฆ่าเลย ไปซูเข้าผูกมัดโตเบ๊กออกไปจากที่เฝ้า โจหยีจึงทูลว่าพระองค์จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียเพราะข้อผิดด้วยรับสั่งให้ไปเที่ยวสืบทารกนั้น โตเบ๊กก็ไปเที่ยวสืบแสวงหามิพบ ได้เข้ามาเฝ้าอยู่ทุกเวลา พระองค์ไม่ตรัสถามจึงมิได้กราบทูลให้ทราบนั้น โตเบ๊กมีความผิดแต่เพียงนี้ จะให้ลงโทษถึงตายประหารชีวิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นกิติศัพท์จะลือเลื่องไปแก่หัวเมืองทั้งปวง จะมีผู้นินทาว่าแต่ความผิดนิมิตฝันไม่สู้ดีเท่านี้ ก็ให้ฆ่าขุนนางเสีย ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานชีวิตโตเบ๊กไว้ ทรงตรึกตรองก่อน แม้นพระองค์มิฟังข้าพเจ้าทัดทาน จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียจงได้ ก็ขอให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยเถิด
                      พระเจ้าชวนอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระโกรธจึงให้ขับโจหยีไปเสียจากที่เฝ้า ฝ่ายทหารคุมตัวโตเบ๊กออกไปถึงตะแลงแกงที่พิฆาตคน ก็ฆ่าโตเบ๊กเสียตามคำสั่ง โจหยีครั้นมาถึงบ้านมีความน้อยใจพระเจ้าชวนอ๋องไม่ฟังคำ ถอดกระบี่ออกจากฝักเชือดคอตาย ในขณะนั้นมีผู้นำเนื้อความขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องครั้นทราบความว่าโจหยีตายก็มีความอาลัยนักด้วยโจหยีเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ฝ่ายโตสิบชกเมื่อพระเจ้าชวนอ๋องให้ฆ่าโตเบ๊กผู้บิดาเสียแล้ว ก็หนีไปทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองจีน เจ้าเมืองจีนเห็นว่าโตสิบชกมีสติปัญญา จึงตั้งโตสิบชกเป็นเสียงไต่หูขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน และเมื่อพระเจ้าชวนอ๋องเสวยราชสมบัติได้สี่สิบหกปี ให้ฆ่าขุนนางสองคนเสียไม่สบายนัก ครั้น ณ เดือนเก้าเป็นฤดูเคยเสด็จไปเที่ยวป่า จึงสั่งอืนเกียดอูกับเตียวเอาให้ตรวจเตรียมทหารพร้อมแล้ว พระเจ้าชวนอ๋องขึ้นรถเทียมม้าเสด็จออกจากเมืองหลวงไปประพาสป่าตำบลตังเก๋า ประทับแรมอยู่ ณ ตำหนักไพร พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเที่ยวชมเนื้อนกกับขุนนางจนเวลาเย็นตะวันยอแสง ขณะนั้นทอดพระเนตรเห็นโตเบ๊กกับโจหยีขี่เกวียนตรงมาหน้ารถ แล้วโก่งเกาทัณฑ์จะยิง พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยกลัวปิศาจ ตรัสร้องให้ขุนนางทั้งปวงดู ขุนนางทั้งปวงต่างแลดูไปมิได้เห็นก็พากันยืนตะลึงอยู่สิ้น พระเจ้าชวนอ๋องจึงแข็งพระทัยร้องตวาดปิศาจว่า ท่านทั้งสองตายมิดี เหตุใดจึงเข้ามาขวางหน้ารถเราอยู่ฉะนี้ จงไปเสียให้พ้น โตเบ๊กปิศาจจึงว่าเราหามีผิดไม่ ท่านไม่อยู่ในยุติธรรมให้ฆ่าเราเสีย บัดนี้ ท่านถึงกำหนดจะสิ้นบุญแล้วเราจะฆ่าท่านเสียบ้าง ว่าแล้วปิศาจทั้งสองก็ยิงเกาทัณฑ์มาถูกพระทรวง พระเจ้าชวนอ๋องล้มลงบนรถสลบลง ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนตกใจ บ้างขึ้นไปบนรถอยู่งานนวดเฟ้นแก้ไขอยู่ช้านาน พระเจ้าชวนอ๋องจึงได้สมประดีขึ้นมา ให้เจ็บหน้าทรวงเป็นกำลัง ก็กลับรถที่นั่งเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวัง ขุนนางพยุงพระองค์เข้าไปถึงที่บรรทม พระเจ้าชวนอ๋องประชวรอยู่ในที่ ให้เห็นแต่รูปปิศาจทั้งสองติดพระเนตรอยู่ ก็ประชวนหนักลงทุกเวลา แพทย์ทั้งปวงถวายยาก็มิได้เสวย จึงให้หาอืนเกียดอูกับเตียวเอาเปกเอียงอูขุนนางผู้ใหญ่สามคนเข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่าเราได้ยินเด็กทำเพลงด้วยลูกเกาทัณฑ์ ท่านทำนายว่าลูกเกาทัณฑ์จะเป็นศัตรูแก่เราก็ถูกต้องดังคำท่าน ตั้งแต่นี้ไปเราจะมิได้เห็นหน้าท่านต่อไปแล้ว ซึ่งเราได้เป็นสุขอยู่ในราชสมบัติมาได้สี่สิบหกปีแล้ว เพราะท่านช่วยทะนุบำรุง แม้นเราเสียชีวิตไปแล้วราชสมบัติทั้งนี้ ท่านจงให้ไทจูจงเลียบเถิด ท่านจงเมตตาช่วยสั่งสอนให้ว่าราชการบ้านเมืองให้เป็นยุติธรรม อย่าให้อย่างธรรมเนียมแผ่นดินนั้นผิดไป ขุนนางทั้งสามได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็ชวนกันร้องไห้รำพันไปต่างๆ แล้วเปกเอียงอูจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระองค์ก็ตกแล้ว ซึ่งไทจูจงเลียบพระราชบุตร จะได้ครองราชย์สมบัติแทนพระองค์ไปนั้น ข้าพเจ้าทั้งสามจะช่วยทะนุบำรุงอย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าชวนอ๋องก็สวรรคต ขุนนางทั้งปวงก็ทำการฝังพระศพอย่างกษัตริย์แต่ก่อน

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขียนต้นฉบับบนโลกออนไลน์

เขียนต้นฉบับคำนี้ต่างจากในอดีตที่ใช้คำว่าเขียนต้นฉบับ เฉพาะเกี่ยวกับการเขียนนวนิยาย การเขียนเรื่องสั้นแต่มาถึงยุคต่อมาเป็นการเขียนประเภท Pocketbook การเขียนบทความทางวิชาการ การเขียนบทละคร การเขียนนิยายประเภทโรมาน ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เริ่มต้นมาจากงานที่เรียกว่า การเขียนต้นฉบับ
          การเขียนต้นฉบับของนักเขียนเมื่อมาถึงยุคออนไลน์ เริ่มมีรูปแบการเขียนแบบใหม่ที่มีเป้าหมายการเขียนเปลี่ยนไป โครงสร้างการเขียนยังไม่เผยแพร่อยู่ในวงกว้าง หรือยังมีผู้ที่เข้าใจในเรื่องนี้น้อยมากส่วนมากแล้วจะอยู่ในแวดวงของผู้ที่ใช้งานทางด้านการตลาดออนไลน์ ส่วนผู้ที่เขียนงาน ประเภทนวนิยาย ประเภทเรื่องสั้น ก็มาแน่ใจว่าจะเข้าใจงานเขียนประเภทนี้หรือไม่เพราะเป็นวิธีการเขียนที่เกิดจากเป้าหมายไม่เหมือนกัน การเขียนต้นฉบับเป็นการเขียนเพื่อหมายคล้าย ๆ กับการโฆษณาสินค้า และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และสินค้าเป็นการเขียนเน้นเชิงธุรกิจ ไม่ใช่การเขียนงานแบบบันเทิงเหมือนทั่ว ๆ ไป ที่คนคุ้นเคยกัน
          การเขียนต้นฉบับที่นำมาลงเผยแพร่บน
Web Site มีเป้าหมายในการทำ SEO  หรือการทำ SEM ที่ทำให้เป็นการจัดอันดับในการค้นหา Web Site ดีขึ้น การเขียนลักษณะนี้ไม่ใช่การเขียนเพื่อตีพิมพ์ในหนังสือหรือนิตยสาร ที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไป  เป็นการเขียนต้นฉบับเพื่อเผยแพร่บน Web Site ที่ให้สาระ ความรู้เกี่ยวการโฆษณา  ประชาสัมพันธ์ เป็นการเขียนเชิงวิชาการ เขียนขึ้นในแนวพรรณนาอธิบายถึงรายละเอียด และคุณภาพของสินค้า และผลิตภัณฑ์ โดยมีนัยแนวทางหรือเป้าหมายการเขียนมากกว่าการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม เพราะการเขียนข้อความ เนื้อหาลงบนเว็บไซต์ เมื่อเผยแพร่ลงไปแล้วไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก และเป็นการสื่อสารให้ลูกค้าได้เข้าใจทีมีผลต่อการทำธุรกิจและการขาย แต่ต้นกำเนิดของกิจกรรมงานทั้งปวง ล้วนมาจากการเขียนต้นฉบับ ที่มีเป้าหมายแทบทั้งสิ้น

           การเขียนบทความ SEO เป็นเรื่องใหม่สำหรับนักเขียนไทย แต่ถ้าเป็นประเทศในแถบยุโรบจะมีการเขียนและมีการ การจ้างคนเขียนการทำ SEO อยู่ในราคา ชั่วโมงละ 3,500 ถึง 4,500 บาท ส่วนในประเทศไทยก็กำลังมีการตื่นตัว ในการทำกิจกรรมการตลาด โดยเริ่มมีการจ้างนักเขียนให้เขียน งานเขียนต้นฉบับ แนวบทความ SEO แต่ราคาบทความละไม่ถึง 50 บาท แต่อยากได้คุณภาพของงานที่ดีมีประสิทธิภาพ นักเขียนที่เก่ง ๆ หนีหมด มีแต่คนเขียนงานที่เริ่มหัดเขียน เพื่อทดสอบฝีมือเท่านั้น แล้วเจ้าของธุรกิจต่างหวังไว้สูงว่าธุรกิจจะขึ้นแท่นได้รับการค้นหาได้เร็วจากผู้บริโภค ก็ต้องร้องเพลงรอต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์และเว็บไซต์จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าในขณะที่ การแข่งขันทางการตลาดยังรุนแรงเช่นนี้ เพราะขี้เหนียวเงินจ้าง นักเขียนต้นฉบับที่มีคุณภาพมาทำ SEO นั้นเอง

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขียนต้นฉบับ SEO

เขียนต้นฉบับ เป็นงานเขียนที่เป็นขั้นตอนก่อนนำออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ สมัยก่อนนิยมเผยแพร่ตามสื่อสิ่งพิมพ์ แต่งานเขียนที่ เขียนเป็นต้นฉบับ ปัจจุบันสามารถลงในสื่อประเภท Social network ได้และสื่อที่กำลังมาแรงแบบสุด สุด ในยุคนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก facebook คนในประเทศไทยมียอดผู้อย่างไม่เป็นทางการ (เดือนตุลาคม 2555) ทะยานขึ้นไปมากกว่า 20 ล้านคนแล้ว ด้วยความที่ฟังชั่นใน facebook โดนใจกับคนหลายวัย แต่ละวันจะมีผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวในโลกของ facebook  ล้านคนนี้ยังไม่ร่วมประเทศอื่น จึงนับว่าพื้นที่โลกแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจของนักธุรกิจที่มองถึงผลประโยชน์อย่างมหาศาล ที่จะกำหนดพื้นที่ฟรีและต้นทุนต่ำลงตรงนี้มาทำกิจกรรมทางการตลาดได้หลายรูปแบบเพื่อการสื่อสารกับลูกค้า
        แต่การสื่อสารต้องมีการเขียนที่เรียกว่า เขียนต้นฉบับ เพื่อนำเนื้อความมาลงในการทำความเข้าใจกับผู้บริโภค ในหลักการเขียนต้นฉบับในสื่อออนไลน์ปัจจุบัน เปลี่ยนไปจากการเขียนต้นฉบับแบบเดิมที่เขียนต้นฉบับประเภทนวนิยาย  เรื่องสั้นสารคดี ที่มีแนวการเขียนต้นฉบับที่มีโครงสร้างเป็นของต้นเอง แต่ในยุคนี้การเขียนเนื้อหาเรื่องใดๆ โดยเฉพาะการทำธุรกิจแล้วทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎของคำว่า
SEO  คำว่า SEO เป็นการเขียนนอกจากจะสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารกับผู้บริโภคแล้ว เนื้อความในการเขียนงานนั้นต้องมีผลต่อการจัดลำดับ SEO (SEO เป็นการทำให้เว็บไซต์มีระดับการค้นหาของผู้บริโภคให้ง่ายขึ้น) ค้นหาง่ายแล้วได้อะไร คำถามนี้มีคำตอบ เพราะการทำธุรกิจสมมติว่าคุณเปิดร้านค้าอยู่ท้ายซอยเพราะความจำกัดหลายอย่าง แต่ก็ต้องการให้คนรู้จักร้านและเข้ามาร้านของเราเพื่อซื้อของ การทำ SEO ก็เช่นกันเป็นวิธีการเรียกลูกค้ามายังร้านค้า (เว็บไซต์ของกิจการ)  แต่การความรู้ประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะใครที่มีร้านบนโลก Internet ต่างก็ต้องการให้คนเข้ามา ผู้บริหารการตลาดต่างพยามศึกษาวิธีการทำงานของ SEO กันอย่างจริงจัง การเขียนงาน ต้นฉบับ เพื่อนำไปทำ SEO แต่จะมีใครบ้างที่เขียนได้และรับรองว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีผู้ที่เขียนได้แบบมืออาชีพ แต่ก็ได้รับค้าเขียนต้นฉบับ เพื่อนำไปลงเว็บไซต์ทำ SEO ด้วยราคาที่ตำมากเพียง บทความละ 35 บาท แต่คนที่รับงานมาทำได้ราคาเป็นหมื่น แต่อยากได้งานที่มีคุณภาพและตั้งเงือนไขการเขียนต้นฉบับประเภทนี้ไว้มากมาย แล้วมืออาชีพที่ในเขาจะเขียนให้เพราะราคานี้เขาอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเขียนต้นฉบับราคานี้ไปวิ่งวินมอเตอร์ไซต์รับจ้างที่ไม่ต้องใช้สมองอะไรยังได้ราคามากกว่าหลายเท่า ดังนี้เจ้าของกิจการที่หวังว่าการเขียนต้นฉบับที่มรการจ้างเขียนต่อ ราคาบทความละ 35 บาท แต่ท่านหวังผลให้เกิดมูลค่ากับกิจการ เป็นล้านล้านบาท มันชั่งไม่สมเหตุผลกันจริง ๆ ท่านเจ้าของกิจการยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล แต่ถูกคนที่มองคุณค่าของงานเขียนต่ำมาทำลายท่านอย่างน่าเสียดาย

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ผู้บริโภคในตลาดอิเล็กทรอนิกส์


      พฤติกรรมของผู้บริโภค หมายถึง การกระทำของบุคคลที่มีผลต่อการใช้ประโยชน์ต่อสินค้าและบริการ ที่มีกระบวนการมาจากการตัดสินใจ อันเนื่องจากอิทธิพล และปัจจัยหลายด้าน โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้น มีประเด็นที่สามารถนำมาพิจารณาประกอบในการศึกษาได้ 3 ส่วน ดังนี้ พฤติกรรมส่วนบุคคล พฤติกรรมการสื่อสารและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การดูทีวี การเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต หรือการไปหาสิ่งของในตลาดสดการพบเพื่อน สนทนากันในเรื่องต่างๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าแทบ
ทั้งสิ้น  พฤติกรรมจากประสบการณ์ต่อสินค้าและบริการ การดำเนินชีวิตประจำวันย่อมได้รับการบริโภคสินค้าและบริการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นการเรียนรู้ในการใช้สินค้าโดยตรงของผู้บริโภคด้วยตนเอง และผู้ที่เคยใช้แล้วแนะนำในคุณภาพของสินค้า ดังนั้น การบริโภคของผู้ใช้ย่อมมีประสบการณ์ในด้านบวกและด้านลบของสินค้าและองค์กร หรือแม้แต่สื่อมวลชนก็มีส่วนในการสร้างความรู้สึกต่อสินค้าและบริการได้มากเช่นกัน เช่น เมื่อมีข่าวจากทีวีบางช่องออกข่าวว่า ยาแก้ปวดพาราเซตามอลขององค์การเภสัชกรรม ที่จ้างบริษัทแห่งหนึ่งผลิต แต่ปรากฏว่า มีเศษอลูมิเนียมปนในเม็ดยา ข่าวนี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
          พฤติกรรมการตัดสินใจ กระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่ผู้ประกอบการสนใจ เพราะหมายถึง การตัดสินใจ หรือเป็นตัวชี้วัดว่าสินค้าสามารถตอบสนองความต้องการ และเป็นที่ยอมรับมากน้อยเพียงใดต่อผู้บริโภค เพราะก่อนที่จะมาถึงการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ ผู้บริโภคจะต้องผ่านกระบวนการค้นหาสินค้าของลูกค้า กระบวนการทำให้เข้าใจในสินค้าและบริการ จนไปสู่กระบวนการสร้างทางเลือกว่า จะเลือกอย่างไรจึงจะเหมาะสม แล้วก็สุดท้ายก็จะเข้าสู่การเลือกเพื่อตัดสินใจซื้อ ไม่ซื้อ หรือเลือกสินค้าทดแทนจากคู่แข่ง
          ในปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค มีลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะความเจริญก้าวหน้าทางการสื่อสาร และเครื่องมือในการนำเสนอสินค้าและบริการ มีความหลากหลายมากขึ้นการนำเสนอขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ หรือทางอินเทอร์เน็ต ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยโดยทั่วไป เกี่ยวกับการทำธุรกรรมค้าขายทางอิเล็กทรอนิกส์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นการนำความรู้ เทคนิคต่างๆ ทางด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการซื้อขายสินค้าอย่างเต็มรูปแบบเหมือนประเทศในแถบยุโรป  ส่วนใหญ่แล้วทุกหน่วยธุรกิจ ล้วนมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่ก็จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางทางการตลาด ช่องทางการติดต่อประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของสินค้าและบริการเท่านั้น โดยไม่ได้นำรูปแบบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มาบริหารจัดการ เพื่อลดต้นทุนแต่อย่างใด นอกจากนั้นจากการศึกษายังพบว่า ผู้ประกอบการส่วนมาก ยังไม่สนใจ ไม่เห็นความจำเป็น และไม่ยอมศึกษา องค์ความรู้ในเรื่องการทำการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เพียงแต่ว่าหวังแต่ให้คนอื่นเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา  
          ผู้บริโภคกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Customer and Electronic Commerce)
ในประเทศไทยอินเทอร์เน็ตมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่เด็กวัยรุ่น และวัยทำงานเพราะการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน ต้องมีการติดต่อ ปฏิสัมพันธ์กันโดยอาศัยเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแต่ละวันแต่ละอาชีพ ล้วนมีเป้าหมายในการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมือนและแตกต่างกัน พอที่จะจำแนกได้ ดังนี้  เพื่อการรับการส่งข้อมูลข่าวสารส่วนตัว การทำงาน และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การค้นหาและเลือกข้อมูลต่างๆ  การเลือกค้นหาสินค้าและบริการ (shop ping and service) การค้นหาข้อมูลร้านค้าบนเว็บไซต์หลายๆ เว็บ เพื่อเปรียบเทียบสินค้า รวมทั้งคุณภาพและราคา การเลือกซื้อสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์ (Online Buying) เพื่อการค้นหากลุ่มและเพื่อนใหม่ๆ ที่สนใจในเรื่องที่คล้ายๆ กัน จนเกิดสังคมออนไลน์ (Social online) เช่น Facebook, Hi5, MSN หรือ Twitter

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องงเก่ารากเหง้าไทย



                เรื่องงเก่ารากเหง้าไทย” สมานสามัคคีให้มีอยู่  จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้   ควรคิดจำนงจงใจ
         เป็นไทยจนสิ้นดินฟ้า....
                  เป็นพระราชนิพนธ์ ของล้นเกล้า ล้นกระหม่อม รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ตลอดจนประสกนิกรชาวไทย ทรงนิพนธ์ไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจให้ศึกษา ความหมายว่าชาติไทย ไม่ใช่ชาติที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน  มีภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่เก่าแก่ ตลอดจนประเพณีอันดีงาม มาตั้งแต่สมัย หลายพันปีมาแล้ว สิ่งเหล่าล้วนเป็นเครื่องยืนยัน เป็นลักษณะพิเศษ ที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติ  เป็นเผ่าพันธุ์  อันยาวนาน  ถ้าคนยุคปัจจุบันละเลยไม่สืบทอด ถ่ายทอด สิ่งอันมีคุณค่าเหล่านี้ แล้วก็น่าเสียดาย อย่างยิ่ง ดังนั้นหน้าที่หลักของ ลูกหลานไทย ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ ต้อง อนุรักษ์   รักษา  ทำนุและบำรุง พร้อมกับการถ่ายทอด องค์ความรู้ที่ดีงาม เหล่านี้ ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานสืบไป เหตุผลสนับสนุนอีกอย่างคือองค์ความรู้ที่ดีงามนี้ เป็นเครื่อง บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทย
            ชาติไทยก็เหมือนกับอื่น ๆในโลก ที่มียุคเสื่อม ยุคเจริญ บางครั้งก็ประสบเคราะห์กรรม ล้มลุก ครุกคลาน ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์เผ่าไทยแล้ว สิ่งที่ทำให้คนไทยต้องตก ระกำลำบาก การทำมาหากิน ฝืดเคืองนั้น ถ้าสืบค้นแล้ว เนื่องจากเหตุผลเดียว คือ เรื่อง การขาดความสามัคคีภายในชาติ  แต่ก็สามารถเอาตัวรอด ผ่านพ้นอุปสรรค ได้หลายครั้ง อย่างครั้งที่ไทย เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า คนไทยถูกจับไปเป็น เชลยศึก  เมืองหงสาวดีจัดงาน บุญประเพณีในงานนั้นมีกิจกรรม จัดรายการชกมวย ระหว่างมวยไทย กับมวยพม่า โดยที่พระเจ้ากรุงอังวะ ก็ทรงเสด็จมาทอดพระเนตรรายการนี้ด้วย  ครั้งนั้นมี นักมวยไทยรับอาสาชกกับนักมวย ชาวพม่า ชื่อว่านายขนมต้ม และเขาสามารถ ชกและน็อคคู่ต่อสู้ได้ถึง 10 คน สร้างความพอใจ ในฝีมือการชกแก่พระเจ้ากรุงอังวะเป็นอย่างมาก ถึงขนาดออกปากชมว่า คนไทย มีพิษอยู่รอบตัว คนเดียวก็สมารถชนะได้ถึง เก้า ถึง สิบคนเช่นนี้ เพราะหัวหน้าไม่ดี จึงเสียบ้านเมืองแก่ข้าศึก ถ้าหัวหน้าดีแล้วไหนเลยจะเสีย กรุงศรีอยุธยา
     
ความเดิมตามประวัติศาสตร์ที่พอจะค้นได้นั้น  คนไทยเริ่มรวมกลุ่มกันขึ้นหลายกลุ่ม แล้วแต่ละกลุ่มรวมกันจัดตั้งเป็นอาณาจักร เรียกกันว่า ลาว หรืออ้ายลาว   ต่อมาถูกพวกจีนรุกราน แย่งชิงที่ทำมาหากินไป ด้วยนิสัยของคนไทยที่รักความสงบ และรักอิสระ จึงจำเป็นต้องถอยร่น พากันอพยพจากถิ่นเดิม ค่อย ๆ เลื่อนลงมาทางตอนใต้เป็นลำดับ การอพยพครั้งนั้น ราวศตวรรษ ที่ 11 เป็นการอพยพครั้งใหญ่ โดยเกิดการพลัดพรากกัน อย่างใหญ่หลวง การอพยพได้บันทึกไว้ว่า แบ่งออกเป็น 2 สาย
         สายแรก  อพยพลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ตามเส้นทางแม่น้ำสาละวิน  โดยมาตั้งมั่นอยู่ที่แคว้นแสนหวีและเรียกตัวเองว่า ไทยใหญ่และบางส่วนอพยพเข้ามาจับจองอาณาเขตถึงแค้วนอัสสัมเหนือเรียกตัวเองว่า ไทยอาหม
         สายที่สอง อพยพมาตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของแม่น้ำโขง  เรียกตัวเองว่า ไทยน้อยไทยน้อยกลุ่มนี้แหละที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นบรรพบุรุษของไทยเราในปัจจุบันโดยกลุ่มนี้ได้อพยพจากทางตอนใต้ของจีน บริเวณช่วงอ่าวตังเกี๋ย  และบางส่วนก็แยกตัวจากอ่าวตังเกี๋ย เรื่อยมาจนถึง แคว้นโยนก ซึ่งปัจจุบัน ก็คือเมืองเชียงแสน ทางภาคเหนือของไทย   
         ต่อมาราวพุทธศักราช 1192 การรวมตัวของเผ่าไทยก็ เริ่มขึ้นอีกครั้งนำโดยเจ้าผู้ครองนคร ชื่อขุนหลวงส่วนชาวจีนเรียกว่า สินุโล”  สินุโลเป็นนักต่อสู้ รักรบ ที่มีความรอบรู้ ชาญฉลาด  จนสามารถรวบรวม คนไทยที่กระจัดกระจาย เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ จัดตั้งเป็นอาณาจักรได้ตรงบริเวณแค้วนตาลีฟู ปัจจุบันอยู่ในมณฑล ฮุนหน่ำของของจีน แต่คนไทย    เรียกว่า หนองแสและเจ้าผู้ครองนครให้เรียกกลุ่มชน ของตนใหม่ว่า ไทยซึ่งแปลว่าอิสระจากการปกครองของเผ่าอื่น  แต่ชาวจีนเรียกว่า น่านเจ้า 
         อาณาจักรหนองแส มีรูปแบบการปกครองที่เข้มแข็ง   มั่นคง มีเจ้าผู้ครองอาณาจักรสืบทอดกันมาหลายองค์  แต่ที่มีผลงานเด่นชัดที่สุด คือ พระเจ้า พีล่อโก๊ะ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ มีปรีชาสามารถมีลักษณะด้วยผู้มีบุญญาธิการเต็มเปี่ยม สามารถรวบรม แผ่นดินของแคว้นสิบสองปันนาที่กระจัดกระจายจนเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันได้สำเร็จ       พระเจ้า พีล่อโก๊ะได้ปรับปรุงวิธีการปกครอง โดยใส่ใจทำนุบำรุง กองกำลังฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน และดูแลราษฎร์อย่างใกล้ชิด ทำให้บ้านเมือง มีความมั่นคงตามลำดับ  แต่ก็น่าเสียดายที่ หลังจากบ้านเมืองสงบได้ไม่นานนัก พระเจ้า พีล่อโก๊ะ เริ่มประชวร อาจจะเกิดจากที่ตรากตรำ  กรำศึกมานาน ทำให้พระวรกายบอบซ้ำ ในที่สุดพระองค์ ก็ทิวงตค กาลต่อมาเหล่าขุนนาง ฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือน ที่จงรักภักดี ก็พร้อมใจกัน ส่งเสริม สนับสนุนให้ ราชโอรส ของพระองค์ ที่ชื่อ โก๊ะล่อฝง”  ขึ้นครองเมือง เป็นกษัตริย์   พระเจ้าโก๊ะล่อฝง  ได้แสดงถึงความปรีชาสามารถ และความกล้าหาญไม่แพ้ พระบิดาของตนเลย  พระองค์ได้ยกทัพไปปราบหัวเมือง ๆ ที่แข็งเมืองเมื่อคราวที่เปลี่ยนแปลงการปกครองได้อย่างราบคาบ สร้างความยำเกรงให้หัวแก่หัวเมืองน้อยใหญ่  ผลงานที่ถือว่าสำคัญที่สุดของพระองค์ก็คือ การนำกองทัพ เข้าตี และยึด แคว้นยูนาน (ฮุนหนำ) ซึ่งเป็นอาณาเขตของจีนได้สำเร็จ ทั้งที่ แคว้นยูนาน เป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยข้าวปลา อาหาร และมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็ง แถมมีกำแพงเมืองที่แน่นหนา เป็นปราการป้องกันเมือง  ที่อยากนักที่ศัตรูจะบุกเข้าไป ทำลายได้ง่าย ๆ แต่พระเจ้าโก๊ะล่อฝง  ก็ทำสำเร็จ  ทำให้กษัติรย์ของจีนในยุคนั้น ไม่พอใจ และแค้นเคืองอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าที่จะนำทัพมาแก้แค้น และทำให้ บ้านเมืองสงบสุข ร่มเย็นเรื่อยมา
     ต่อมาในราว พศ. 1322 พระเจ้าโก๊ะล่อฝง ที่ทรงชราภาพมากแล้วก็ทิวงคตในตามอายุขัย อย่างสงบในพระราชวัง  นับรวมระยะเวลาการครองราชของพระองค์ ประมาณ 31 ปี เมื่อสิ้นบุญของพระเจ้าโก๊ะล่อฝง  ทายาทที่สืบทอดอำนาจต่อจากพระองค์  ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นได้  เกิดการอิจฉาริษยา  แบ่งพรรคพวก ชิงดี ชิงเด่น คนทำดี หมดกำลังใจ คนไม่มีน้ำใจขึ้นมาเป็นใหญ่แทน  คนดีพากันหลีกหนี เข้าไปอยู่ในป่า  คนไม่เข้าท่า เข้าเป็นมาเป็นนายแทน   อาณาจักรเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เจ้าผู้ครองอาณาจักรในยุคต่อ ๆ มาใช้นโยบายการบริหารงาน บ้านเมืองที่ผิดพลาด เกิดความแตกแยกไปทุกหัวระแหง แบ่งพวกแบ่ง กลุ่มออกเป็นหลาย ฝ่าย  ต่างกลุ่มก็แย่งชิงความเป็นใหญ่  และกอบโกย แย่งชิง ทรัพย์ ของแผ่นดิน ประเพณีราชสำนัก ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อ ที่เคยปฎิบัติมา ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ขาดการละเลย ขาดการสืบทอดจนค่อย ๆ ถูกวัฒนธรรมของชาวจีน เข้ากลืนกินทุกขณะ แม้แต่สายเลือดไทยในราชสำนัก พวกขุนนางเชื้อสาย เริ่มหายากลงทุกที   ประเพณีก็เริ่มปฎิบัติอย่างชาวจีน อาณาจักรไทยเริ่มระสำระสาย หมดอิสระภาพทางการปกครอง และหมดสิ้นความเป็นอาณาจักรไทย มองไปทิศใดก็ถูกวัฒนธรรมจีน แทรกแซงไปทุกระบบ คนไทยถูกกดขี่ ถูกเอาเปรียบ ขาดอิสระภาพทุกอย่าง มีชีวิตที่หดหู่  แก้ไขอะไรไม่ได้จำ ทำตามเงื่อนไขที่เขากำหนด  และยอมรับกับชะตากรรมที่ตนเป็นผู้กระทำ   อาการของคนไทยในช่วงนั้นเปรียบเหมือนคนเป็นไข้ป่า หมดทางรักษา เยียวยา นอนหายใจรอยริน เป้าหมายที่เดินทางคือ ความตาย เท่านั้นเอง
                        แต่ปัจจุบัน ชาวจีนและชาวไทยได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแน่นเหนียวไม่มีความแปลกแยกกันเหมือนในอดีต คนไทยส่วนใหญ่กลายเป็นเชื้อสายจีน มีความรักชาติบ้านเมือง ต่างช่วยกันสร้างชาติให้เจริญเรื่อยมา แต่เมื่อก้าวมาถึง พศ. 2555 คนไทยต่างก็เกิดความคิดเห็นต่างกันอย่างรุนแรง เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แบ่งสีแบ่งข้าง กลายเป็นแดง เป็นเหลือง มีความคิดเกลียดชังกัน ประหนึ่งว่าไม่ใช่พี่น้องกัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ความเข้าใจกัน ความรักกันของคนในชาติจะกลับมา

            

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ปริศนาแห่งมด


   ปริศนาแห่งมด ที่มนุษย์ควรศึกษา
หลายวันที่ผ่านมา ได้มีโอกาสดูทีวี   เป็นรายการสารคดี เรื่องของ มด  ดูแล้วน่าสนใจมากเลยเกิดแรงบันดาลใจ อยากจะเขียน เรื่องราวของมด  จึงหยิบปากกาขึ้นมาเขียน อย่างน้อยก็ เป็นภูมิความรู้ ความเข้าใจ  ในการเตือนตัวเองในการทำงาน  และอาจจะเป็นประโยชน์กับ ผู้อื่นที่มองเห็นความสำคัญ  แม้มดจะเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ
แต่ถ้ามองด้วยความใจกว้าง และเอาสาระเป็น ประโยชน์จากพฤติกรรมการดำรงชีวิต ของเขาแล้วนับว่า ยิ่งใหญ่มาก ถ้ารู้วิธีหยิบสิ่งนั้นมาใช้ประโยชน์  มดนับว่าเป็นสัตว์โบราณ การขึ้นเกิดของมด ตามที่สามารถค้นพบได้น่าจะมีมาพร้อมโลกใบนี้ก็คงจะไม่ผิด อาจจะมีคำถามว่า ใช่หรอ มดเกิดมาพร้อมโลก ตั้งหลายพันล้าน ล้านปี  โดยไม่สูญพันธุ์ เลยหรอ   น่าจะเป็นไปได้  เพราะถ้าเราศึกษา และรู้จักมด  มดทุกตัว ทุกชนิด ที่เราเคยเห็นนั้น  เราต่างยอมรับ ว่า มด  เป็นสัตว์ที่ ขยันที่สุด   แต่ความพิเศษ ความมหัศจรรย์ ของมดยังมีมาก กว่าที่เราเคยรู้มากนัก  ที่เป็นความลับกันมานานแสนนานก็มาก   และวันนี้ เราจะมาเปิดเผยความลับของมดกันดีว่า   ถ้าใครเคยอาศัยอยู่ในชนบท หรือเคยไปเที่ยวต่างจังหวัด  จะต้องรู้จักมดดี ว่า เป็นอย่างไร  คุณเคยถูกมดกัดไหม ทำไมมันกัดเราละ ก็เพราะมันปกป้องที่อยู่งัย มดกัดแล้วไม่ยอมปล่อย   มันยอมตาย  คุณเคยเห็นมด วิ่งหนี เพราะกลัวหรือเปล่าละ นี้คือความกล้าหาญ ของมด ที่สัตว์ประเภทอื่นมีคุณสมบัติแบบนี้น้อยมาก   ชาวนา ชาวสวน หรือปู่ ย่า ตา ยาย สมัยก่อนที่มีอาชีพทำการเกษตร ถ้าจะสังเกต ดินฟ้า อากาศ  และเตรียมพร้อมรับมือ กับภัยจากธรรมชาติ  ก็ดูได้จากการสังเกตพฤติกรรมของมด  ถ้าวันไหนมดพากันเดินทางขึ้นบนบ้าน หรืออพยพ  ลำเลียง คาบไข่ ออกมาจากรู พากันขึ้นไปหาที่อยู่ใหม่บนที่สูง  คนตามชนบทจะทราบได้ทันที ว่าอีกไม่นาน ฝนจะตก และพายุ กำลังจะมาอย่างรุนแรง  ต้องเตรียมเก็บข้าวของ  ยุ่ง ฉาง ให้มั่นคง  ถ้าช้า พืชผลเสียหาย จากภัยธรรมชาติแน่นอน มด สามารถทำนายเหตุการณ์ แม่นยิ่งกว่ากรมอุตุนิยมวิทยาเสียอีก  ส่วนมดรู้ได้อย่างไรว่า ฝน และพายุจะมา  ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ คงเป็นปริศนา กันต่อไป  
          ความมหัศจรรย์ ของมดนอกจาก  ความขยันเป็นยอด และเป็นนักอุตุนิยมวิทยาชั้นเยี่ยม แล้ว   มดยังมีองค์ความรู้อีกหลายเรื่อง ที่น่าศึกษา ล้วนวิเศษ และน่าพิศวงมาก  แน่ แน่  คงอยากรู้ ละชิว่าคืออะไร ตามเรามาเลย    เวลาน้ำท่วม สัตว์หลายชนิดจะหาวิธีเอาตัวรอด แม้แต่มนุษย์ก็เช่นกัน  มดถ้าเขาอพยพออกจากรู ไม่ทัน เขาจะใช้ขาช่วงหลัง เกาะเกี่ยวกันทำเป็นแพ ขาหน้าจะช่วยกันพายพยุงแพให้เคลื่อนไปตามเป้าหมาย มดงานจะ ขนไข่ ลำเลียงตัวอ่อน และนางพญามาไว้บนแพ จนปลอดภัย  แล้วก็ปล่อยให้แพลอยไปตามความแรงของกระแสน้ำ   ทำตัวให้อ่อนกลมกลืนกับกระแสน้ำ เพื่อป้องกันแพแตก  ถ้าจังหวะที่น้ำสงบ ก็จะใช้ขาส่วนหน้าพาย และพยุงแพ   ขณะที่แพมดลอยไปตามน้ำนั้น มดก็จะทำการต่อตัวโดยใช้ขา เกี่ยว กันไปด้านหน้าเรื่อย ๆ เป็นลูกโซ่ เพื่อให้แพเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมายตลอดเวลา  เป้าหมายก็คือ ฝั่ง นั้นเอง   พอถึงฝั่ง มดทุกตัวไม่รอช้า ที่จะใช้เท้าจับ วัตถุที่สามารถเกาะได้ อาจเป็น หิน ต้นหญ้า  หรืออื่น ๆที่อยู่ใกล้ และยึดติดอย่างมั่นคง  หลังจากเทียบท่าได้แล้ว  ภารกิจอันหนักหน่วง ของมดก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง  เรื่องหยุดพัก ให้หายเหนื่อยเลิกคิดได้เลย 
          เราไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า มดเขาแบ่งหน้าที่กันเมื่อไหร่ อย่างไร เขาทำงานกัน ไม่เห็นมีใครมาคอยสั่งการ   และคอยควบคุม การทำงานเหมือนมนุษย์ แต่เรารู้จักกันว่ามีนางพญา เราเข้าใจเองว่าเป็นหัวหน้ามด   แต่บทบาทของนางพญาที่เราเรียกว่า เป็นหัวหน้ามดนั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากการออกไข่  เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่   เราเข้าใจกันเอง เออเองว่าเป็นหัวหน้า ก็อาจเป็นได้  นะ ถ้าเราคุยกับมดรู้ภาษา เขาน่าจะอธิบายให้เราเข้าใจได้   แต่ที่เราสังเกตเห็นว่า มดเขาทำงาน ตามหน้าที่ได้ เรียบร้อย  ตรงไปตรงมา  ที่สำคัญไม่ยอมเหนื่อย ไม่ยอมบ่น
 เอาละ เข้าเรื่องเสียที่ ว่าแพมดมาถึง ฝั่งแล้ว งานต่อไปคืออะไร  เมื่อแพมดจอดเทียบท่า อย่างสงบ มดงานที่รักษาไข่บนแพ งานสำคัญอันดับแรก คือ ลำเลียงไข่ทุกใบ ทุกตัวไม่รอช้ารีบคาบไข่ ตัวละใบ แล้วขนขึ้นฝั่งทันที โดยไข่จะมีการกำหนดพื้นที่ ที่เก็บไว้ในที่ปลอดภัย คือรูหรือรัง ไว้เรียบร้อยแล้ว มดทุกตัวจะช่วยกันทำงานกันอย่างเร่งด่วนจนเสร็จสิ้น  งานต่อมาก็เป็นการขนและช่วยเหลือตัวอ่อน  ให้เข้าไปในรูจนเรียบร้อยทุกตัว  หลังจากนั้น ก็มาถึงคิวของการ พาตัวนางพญาเข้าไปอาศัยในรูเป็นขั้นตอนสุดท้าย   หลังจาก นำไข่ ตัวอ่อน และนางพญา เข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว  ภารกิจของเหล่าบรรดามดงาน ก็ยังหนักเหมือนเดิม งานช่วงต่อไปของพวกเขา ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการหาอาหาร มาเก็บไว้ในรัง  เพื่อให้ตัวอ่อนได้กิน ให้แข็งแรง เจริญเติบโตโดยเร็ว  ส่วนนางพญานั้นร่างกายจะได้สมบูรณ์ พร้อมที่จะออกไข่ ขยายเผ่าพันธุ์ รุ่นต่อไป 
          แต่ ความลับของบรรดาพวกมดที่เรายังสงสัยอยู่ ว่า  1) มดรู้วิธีแบ่งหน้าที่กันทำงานที่เหมาะสมได้อย่างไร   2) มดรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญและงานอะไรต้องทำก่อน และหลัง  3) และมดเขาทำงานโดยสามารถเรียงลำดับความสำคัญของงานได้อย่างไร   ทั้งที่ พวกเขาไม่ได้เข้าโรงเรียน   ทุกประสบการณ์ที่กล่าวมาถ้าเราเปิดใจกว้างยอมรับในความรู้ สาระจากสิ่งต่าง ๆ ว่ามี ประโยชน์ก็จะทำให้เราเข้าใจในโลกมากขึ้น  มดก็เป็นสัตว์ สังคมที่ อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกับมนุษย์  โดยมีการแบ่งหน้าที่ รับผิดชอบในการทำงานอย่างชัดเจน การทำงานของมดจะไม่ก้าวก่ายกัน  เป็นงานลักษณะสัมพันธ์ และเชื่อมโยงกัน ลักษณะเป็นทีม ไม่หน้าเชื่อว่ากระบวนการทำงานของมดจะเป็นความรู้ที่เขียนไว้ใน วิชา องค์การและการจัดการ เป็นสาระความรู้ด้านบริหารจัดการ  ในระดับงานการจัดการระดับสูง แม้แต่สาขา MBA. ที่วงการการศึกษาด้านบริหารชั้นสูง ที่ถือว่าเป็นศาสตร์การบริหารที่ดีที่สุดแห่งยุค 2000 แล้ว ยังมีส่วนคล้ายกับวิธีการทำงานของมด  อาจเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้  ที่องค์ความรู้มาตรงกัน หลายเรื่อง เช่น ความรับผิดชอบ การทำงานเป็นทีม  การแบ่งงานตามความสามารถ
   แต่สิ่งสำคัญนั้น  คือธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งรวมความรู้ หลายสาขาที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ของมนุษย์  ทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมพึ่งพากัน อยู่ เราไม่ควรเหยียดหยามสิ่งอื่นว่า น้อยค่า ราคาต่ำ   หลายท่านคงจำนิทาน อีสป  เรื่อง ราชสีห์กับหนู ได้หรือแม้แต่เรื่องกระต่ายกับเต่า  จนกลายเป็นเรื่องเล่าอมตะเตือนสติ  ที่ทุกคนทั่วโลกต่างก็ยอมรับในสาระที่ดีมีประโยชน์   เรื่อง มดก็เช่นกัน ถ้าเรานำ การสาระ นั้นมา ปรับใช้ให้เข้ากับ การดำเนินชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานน่าจะไม่เลวนัก  สำหรับความสำเร็จ  และความรุ่งเรืองที่จะยืนคอยคุณ อยู่อีกฝั่งของขอบถนน
                                      

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

อินเทอร์เน็ตกับการตลาด


   อินเทอร์เน็ตนั้นได้มีกำเนิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มจากกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา อินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรก ในปี พ.. 2512 โดยคนบางกลุ่มทดลองนำคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อสายเข้าด้วยกัน เพียงบางเครื่อง การเชื่อมโยงสายส่งข้อมูล เป้าหมายเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน โดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วงนั้นใช้ชื่อในการเชื่อมโยงนั้นว่า เครือข่าย ARPANET เครือข่ายอาร์ปาเน็ต ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสนองความต้องการของบุคคล ในเรื่องข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและประหยัดเวลา โดยมีองค์กรทั้งหน่วยงานราชการและเอกชน
          สนใจเข้ามาร่วมใช้อย่างมากมาย โดยเฉพาะหน่วยงานทางทหาร สถาบันการศึกษา เป็นผู้สนับสนุนการใช้งานและร่วมแก้ไขปัญหา ขยายการใช้งานมากขึ้น โดยนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเชื่อมต่อกับเครือข่ายอาร์ปาเนต ทำให้เครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น จนทำให้การควบคุมมาตรฐานของการเชื่อมต่อมีปัญหา ประสิทธิภาพการส่งข้อมูลเริ่มช้าหรือติดขัด ดังนั้นจึงมีการกำหนดมาตรการรองรับการขยายเครือข่ายนั้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีการกำหนดระเบียบการบริหารจัดการใหม่ เมื่อปี พ..2525
          ต่อมาปี พ.. 2528 หน่วยงานแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาระบบเครือข่ายใหม่ โดยใช้ชื่อว่า NSFNET ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอาร์ปาเนตได้เป็นอย่างดี เพราะมีระบบมาตรฐานเดียวกัน เครือข่าย NSFNET มีความสามารถสูงมาก เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์หลักของเครือข่ายอื่น ทำให้เครือข่าย NSFNET ถูกกำหนดให้เป็นเครือข่ายหลักหรือที่เรียกว่า แบ็คโบน(Backbone) แทนเครือข่ายอาร์ปาเนต และครือข่ายอาร์ปาเนตก็สนองความต้องการได้น้อยลงเรื่อยๆในที่สุดก็ถูกยกเลิกการใช้งานไป จึงเหลือเครือข่ายที่ยังใช้งานอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า อินเทอร์เน็ตเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เริ่มพัฒนาครั้งแรกปี พ.. 2530 โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ใช้คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า ระบบมินิคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นเป็นการเชื่อมต่อโดยอุปกรณ์ คือ สายโทรศัพท์ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในประเทศออสเตรเลีย แต่ประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลได้ค่อนข้างช้าและขัดข้องบ่อยครั้ง ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
          ต่อมาปี พ.. 2534 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ร่วมมือกับอาจารย์และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา เริ่มตั้งกลุ่ม NECTEC E-mail Working Group (NEW Group) เพื่อเป็นองค์กรกลางประสานงานเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีความ รู้ใหม่ๆ และข้อมูลข่าวสารด้วยการใช้อีเมล โดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นตัวเชื่อมอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศออสเตรเลีย
          ในปี พ.. 2538 ประเทศไทยได้ประกาศให้เป็นปีแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากรัฐบาลเห็นความสำคัญในความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันหลายประเทศทั่วโลกกำลังสนใจพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และประเทศไทยก็ได้จัดระบบการจัดวางเครือข่ายเทคโนโลยีความเร็วสูงใหม่ โดยใช้อุปกรณ์สายใยแก้วนำแสงซึ่งเป็นสายเชื่อมโยงสื่อสาร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการเช่าสัญญาณวงจรสื่อสารความเร็วสูงขนาด 600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตของบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้ข้อตกลงร่วมกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับ NECTEC
          ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.. 2538 ได้มีหลายแห่งสนใจ ส่วนมากจะเป็นสถาบันการศึกษา ได้ร่วมมือกันเชื่อมต่อระบบแบบออนไลน์ จนสามารถใช้งานร่วมกันได้ค่อนข้างสมบูรณ์เช่นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,มหาวิทยาลัธรรมศาสตร์, NECTEC, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ระบบเครือข่ายนี้มีชื่อว่า ไทยสารอินเทอร์เน็ตระบบนี้มีความเร็วขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ในการเพิ่มขีดความสามารถในการ เชื่อมโยงข้อมูล จึงทำให้คนไทยมีระบบการใช้บริการของไทยสารอินเทอร์เน็ต 2 วงจรเป็นครั้งแรก
          โดยเป็นวงจรที่เชื่อมของ NECTEC ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ส่งสัญญาณเชื่อมโยงไปยังต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาให้มีความเร็ว ขยายขอบข่ายมาก และกว้างขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มที่สนใจนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงแรกนั้น เป็นสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาโดยใช้ระบบในการสืบค้น หรือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอนค้นคว้างานวิจัย สถาบันการศึกษาที่เข้ามาเชื่อมโยงข้อมูล เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดยการตั้งชื่อว่า ไทยเน็ต” (THAINET) สมัยนั้นไทยสารยังเป็นเครือข่ายเพื่อ การศึกษาและการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น ยังไม่สามารถให้บริการแก่หน่วยงานราชการและบุคคลทั่วไปปัจจุบันแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น อาจเป็นเพราะมีการเปิดการแข่งขันเสรีในด้านบริการอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้ค่าบริการต่ำลง ขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ก็มีราคาถูกค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันกันเรื่องราคาที่ต่ำลง ความเร็วและคุณภาพสูงขึ้น ยิ่งเป็นสิ่งกระตุ้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าสู่การใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

การตลาดอิเล็กทรอนิกส์


ความหมายและความเข้าใจของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์
การตลาด (Marketing) หมายถึง กระบวนการ หรือวิธีการที่จะนำสินค้าและบริการจากแหล่ง
ของผู้ผลิต ไปสู่ผู้บริโภคคนสุดท้าย และสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ สามารถตอบสนองควมพึงพอใจ
และสร้างความประทับใจผู้บริโภคได้มากที่สุดโดยทำกำไรสูงสุดให้แก่องค์กร
การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง เทคนิควิธีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการไปยังผู้บริโภค
โดยอาศัยอุปกรณ์เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะเครื่องมือทาง
อิเล็กทรอนิกส์และการบริหารจัดการ โดยอาศัยเครือข่ายเทคโนโลยี ที่เรียกกันว่า Network System
เข้ามาประสมประสานกันอย่างเป็นระบบ โดยโครงข่ายโทรคมนาคม (Telecomunication Network)
การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Marketing) คือการทำกิจกรรมทางการตลาดโดย
ประสมประสานกับระบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้สามารถสื่อสารและเสนอผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า
กลุ่มเป้าหมายได้เข้าใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะสามารถสนองความต้องการได้ให้มาก
ที่สุด โดยอาศัยรูปแบบที่รวดเร็วสะดวกของระบบอิเล็กทรอนิกส์เผยแพร่ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
และทั่วถึงอย่างกว้างขวาง
              การตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์มีรายละเอียดและธรรมชาติที่แตกต่างกับการตลาดแบบเดิม
มาก แต่ก็ยังอาศัยวิธีการตลาดแบบเดิมมาเป็นพื้นฐานในการดำเนินการ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์
มีลักษณะพิเศา มีเงื่อนไขเพิ่มมากขึ้น และยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างรวเร็ว รวมทั้งเทคนิค
อุปกรณ์ เทคโนโลยี สิ่งที่สำคัญก็ต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค ทันต่อการแข่งขันที่รุนแรง
เพราะคู่แข่งมีการพัฒนารูปแบบในการทำการตลาดตลอดเวลา
การทำการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกิจกรรมที่เรียกว่า มีการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 - way
Communication ) หมายถึง กิจกรรมที่นำเสนอออกไปยังกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายนั้นทำ
กิจกรรมตอบกลับมา เช่น นักการตลาดส่ง SMS ไปหาลูกค้าว่าสามารถดาวน์โหลดริงโทนเพลงดัง
จากละครได้ฟรี ที่หมายเลข 5488 แล้วลูกค้าที่สนใจก็จะส่ง SMS ไปโหลดเพลงดังกล่าวมาไว้ใช้ใน
มือถือ รูปแบบนี้ก็เป็นวิธีการสื่อสารแบบ 2 ทางที่เห็นโดยทั่วไป และต้องสามารถสื่อสารกับผู้บริโภค
ได้ตลอดเวลา (24 hrs / 7 days) เช่น เราสามารถจ่ายค่าโทรศัพท์ได้ตลอดเวลาที่ร้านเซเวนอีเลฟเว่น
และจะต้องเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดย อาศัยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มาทำการตลาด
ไม่ว่าจะเป็น อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ และยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

คุณไสย์ใครว่าไม่มี


    กลุ่มชาติพันธุ์ ในหลายประเทศในแถบเอเชียแทบทุกประเทศ จะมีความเชื่อเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถา ไสย์ศาสตร์ มนต์ดำ การใช้คุณไสยกันแทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะชาติที่อยู่ติดกับไทย เช่น กัมพูชาจะมีอิทธิพลและความรอบรู้ในวิชามนต์ดำการทำคุณไสย์ในระดับเชี่ยวชาญเลยทีเดียวจนพิธีกรรมเรื่องคุณไสย์ขยายเผยแพร่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวจังหวัดที่อยู่ใกล้กับชาติแดนเขมรอย่างสุรินทร์ ศรีษเกษ ได้รับอิทธิพลจากเขรมมากในเรื่องการเล่นของขั้นชื่อว่าของเขมรขลังที่สุด
          ในยุคสมัยโบราณการศึกษาและเรื่องรู้ในเรื่องเวทย์มนต์คาถาเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในการทำมาหากิน การป้องกันตัวจากภัยต่างๆไม่ว่า สัตว์ คน และภูติผีป่าต่างๆ  ตลอดจนรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ  เพราะบ้านเมืองยังทุรกันดารอยู่ตามป่าเขา
          ความปลอดภัยในเรื่องการดำรงชีวิตและการรักษาพยาบาลไม่มีสถานพยาบาลโรงพยาบาลและแพทย์ที่คอยจะรักษาคนป่วยเหมือนในยุคปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้นับว่าความรู้ในเรื่องเวทย์มนต์คาถาวิชาไสย์ศาสตร์เวทย์นับว่าหมดความจำเป็นลงไปจนเกือบจะหาผู้สืบทอดไว้นั้นยากเต็มทน แต่ความเชื่อพิธีกรรมยังมีการสืบทอดในเรื่องการหาผลประโยชน์และทำลายล้างกันมากกว่า
          การเล่นของหรือการทำของหมดเขมรนับว่าเป็นที่ยอมรับในความขลังมาตั้งแต่สมันโบราณ ในจังหวัดสุรินท์ ศรีษเกษ   ปัจจุบันก็ยังมีหมอรักษาทางไสย์ศาสตร์ หมอผีประเภทนี้พอให้เป็นกับบ้าง การเป็นหมอไสย์ศาสตร์ในทางศาสนาพุทธถือว่าเป็นมนต์ฝ่ายดำเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นเรื่องต่ำศาสนาพุทธโดนพระพุทธเจ้าจึงบัญญัติว่าห้ามพระสงฆ์มายุ่งเกี่ยวกับการปลุกเสกสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำพิธีคุณไสย์เด็ดขาด แต่ก็จะมีลูกศิษย์ที่เป็นฆารวาสจะมาเรียนคาถาจากอาจารย์พระที่เก่งแล้วออกไปตั้งสำนักเป็นหมอไสย์ศาสตร์หาทรัพย์กันเป็นกอบเป็นกำ ยังในยุคปัจจุบันคนขาดที่พึ่งทางใจจะเข้ามาหาวัตถุเครื่องรางต่างๆ ไว้เสริมกำลังใจ อย่างการทำเสน่ห์ ทำให้รวยค้าขายเจริญ เสริมดวง เพื่อให้การทำธุรกิจมีกำไรมากขึ้นบางครั้งละเมิดศรีธรรม ทำเสน่ห์ยาแฝด เพื่อทำให้คนที่ไม่รักตัวเองกลับมารักมาหลงซึ่งทำให้ผิดศีลธรรมอย่างรุนแรงอย่างนี้เป็นบาปอย่างมหันต์ตายไปก็เชื่อว่าต้องทนทุกข์ทรมานในนรกหรือบางครั้งทำร้ายคนอื่นโดยการปล่อยของเข้าไปทำร้ายคนอื่นโดยหวังทรัพย์สินเงินทอง บางครั้งก็ทำเพราะโกรธ อิจฉาริษยา คนอื่นก็ทำของเข้าไปเข้าตัวเขาทำให้เขาป่วย ตายก็มีมากมาย

          ดังนั้นผู้ค้นคว้าในเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อแนะนำให้กระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมผิดต่อกฎหมายผิดต่อความเป็นมนุษย์ของตนโดยสร้างเวรกรรมไม่ดีจนทำให้ตกต่ำเพียงแต่หวังว่าต้องการเป็นการสืบทอดองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไม่ให้สูญหายและสามารถนำไปเรียนรู้ในการช่วยเหลือคนหรือช่วยเหลือตนเองและญาติมิตรที่บางครั้งอาจจะมีคนชั่วที่ทำไสย์ศาสตร์มนต์ดำมาเข้าโดยไม่รู้ตัวจะ อาจทำให้แก้ไขกันทันเวลา เพราะผู้ที่หากินในทางไม่บริสุทธิยังมีอีกมาก โดยทำพิธีปล่อยตะปูเข้าท้องแล้วก็ไปทำพิธีแก้ถอนตะปูออกเอง เพื่อหวังทรัพย์ก็มีมากมายโดยเราไม่ทราบเลย
          แต่การนำเสนอพิธีกรรมการทำคุณไสย์ในเรื่องการทำคุณไสย์นั้นจะไม่ขอนำเสนอรายละเอียดมากนักเพียงแต่ให้ทราบไว้เท่านั้นว่ามีมากอย่างไรเพราะอาจจะมีผู้นำไม่ศึกษาแล้วกระทำจะทำให้เกิดความเสียหายสร้างกรรมไม่มีที่สิ้นสุดและขอเตือนว่าถ้าใครทำคุณไสยใส่ผู้อื่นโดยไม่ละเอียดแล้วอย่าเสี่ยงเพราะอาจเข้าตัวได้
 การทำคุณไสย์ เป็นวิชาดำถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีคำว่าไม่ดีคือคนที่ทำนั้นทำให้เกิดความเสียหายทำให้คนอื่นๆเดือนร้อนอย่างเมาก็เจ็บป่วย ทำมาหากินลำบาก อย่างแรงถ้ารักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ โดยบาปกรรมที่กระทำนั้นจะส่งผลย้อนกลับมาถึงตนเองที่เขาเรียกว่าของตัวเองย้อนเข้าตัว หรือถูกคนที่เล่นคุณไสย์ด้วยกันลองของ แม้แต่ผีที่ตนเองเลี้ยงไว้ก็อาจจะทำร้ายเอาได้ถ้ามันมีโอกาส เพราะวิชาไสย์ศาสตร์ซึ่งเป็นมนต์ดำพวกนี้เป็นการใช้วิชาลักษณะบังคับข่มเหงคนอื่นก็ยอม เรื่องกฎธรรมดาที่ต้องถูกคนอื่นเขาทำกับเราบางเหมือนคำที่ว่าเก่งแล้วก็ยังมีเก่งกว่าหรือเหนือฟ้ายังมีฟ้านั้นเอง
          การคุณไสย์ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ต้องมีผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น สนใจอย่าแรงกล้า มีจิตใจเข้มแข็งไม่กลัวสิ่งลีลับมีอาจารย์ที่ถ่ายทอดดีและประการสำคัญ ต้องรักษาศีล บริสุทธิ์และเป็นคนดี เป็นผู้ที่ยึดมั่นในจารีตประเพณี สามารถปฏิบัติตามข้อห้ามของเกร็ดวิชาอาคมที่เรียนมาอย่างเคร่งครัดถ้าทำไม่ได้หรือบกพร่องย่อมเป็นอันตรายเกิดภัยวิบัติกับตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดังที่เรียกว่าของเข้าตัว ดังเราจะเห็นบ่อยครั้งที่คนมีแสดงอาการประหลาดผิดปกติมีให้พบกันโดยทั่วไป  บางคนรักษาคาถาไม่ได้ต้องกลายเป็นผีปอบ  ผีกระสือ  เสือสมิงที่เคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
          ดังนั้นเรื่องการทำคุณไสย์ อย่านำไปปฏิบัติโดยเด็ดขาด เพราะการทำจะไม่ได้ผลช่ำร้ายเกิดอันตรายกับตัวเองและครอบครัวเพราะรายละเอียดนี้ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากไม่ต้องการให้นำไปปฏิบัติ เพราะการเรียบเรียงเรื่องนี้เพียงแต่ต้องการให้ทราบเข้าใจและเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษไว้ให้ลูกหลานและบันทึกไว้ในแผ่นดินเท่านั้น


วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ส่วนผสม Online Marketing Mix



1.ผลิตภัณฑ์ (Product) คือสินค้า ผลิตภัณฑ์และการบริการที่นำเสนอบนร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตในระบบออนไลน์ เป็นผลิตภัณฑ์และบริการทีเหมือนจริงที่อยู่บนร้านค้าทั่วไป มีรูปภาพ รูปร่าง รูปทรง ขนาด ราคา และอื่นๆ เหมือนสินค้าดั้งเดิม แต่จะแตกต่างกันที่ไม่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น โดยผลิตดภัณฑ์ในร้านค้าออนไลน์จะมีองค์ประกอบโดยรวมดังนี้
      (1)   เป็นสินค้าที่สัมผัสไม่ได้
             (2)   เป็นร้านค้าลักษณะบริการ
(Services) ในรูปแนะนำรายการต่างๆ เช่น
      (2.1) รูปภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ ต้องเป็นรูปปัจจุบันมากที่สุด แสดงรายละเอียด เน้นความสำคัญ คุณภาพและความน่าเชื่อถือ
       (2.2) นำเสนอ อธิบายรายละเอียดด้านการบริการ คุณสมบัติของสินค้าอย่างชัดเจนไม่คลุมเครือ         
       (2.3) นำเสนอภาพ ภาพลักษณ์ สีสรร รูปแบบ เข้ายุคเข้าสมัย เพื่อตอกย้ำเรื่องบริการ คุณภาพ ความเชื่อถือโดยเน้นภาพ โลโก้ ข้อความ VDO Line และระบบการเชื่อมโยงกับ website อื่นๆ
      ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอในร้านค้าทางออนไลน์จะอยู่บน website ต่างๆ จะมีให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคได้หลากหลายและเข้าไปสู่ร้านค้าได้เร็วและมากเพียงเสี้ยววินาที ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา มีผลิตภัณฑ์และการบริการไม่แตกต่างจากร้านค้าทั่วไป และจะพิเศษตรงที่ไม่สามารถสัมผัสสินค้าได้และไม่มีพนักงานคอยอำนวยความสะดวกเท่านั้น ผู้เข้าไปยังร้านค้าประเภทนี้ต้องบริการตนเอง โดยลักษณะร้านค้าทางออนไลน์จะสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
      1.    ประเภทผลิตภัณฑ์บริการ (Services Product) ผลิตภัณฑ์บริการ หมายถึง ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าประเภทไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เกิดผลที่ได้รับในลักษณะรูปธรรมได้ เช่น การบริการหลังการขาย การแนะนำวิธีใช้อุปกรณ์ เป็นต้น

ส่วนผลิตภัณฑ์บริการทางสินค้าออนไลน์จะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์โดยทั่วไป ในความหมายนี้ คำว่าผลิตภัณฑ์บริการทางตลาดออนไลน์ หมายถึง การสร้างรูปแบบการออกแบบและรายละเอียดต่างๆ บนเว็บไซต์ไว้คอยบริการให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ อาจเป็นโปรแกรมหรือปุ่ม Line ต่างๆ ที่เมื่อผู้บริโภคกดปุ่มแล้วระบบจะพาเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บไซต์ตามต้องการ อย่างนี้ก็เรียกว่าการบริการเช่นกัน หรือแม้แต่การสร้างระบบ Search Engine ขึ้นมาคอยบริการให้ ผู้บริโภคคีย์ข้อความลงไปเพื่อค้นหารายการต่างๆ ตามต้องการ เช่น การบริการของ www.google.com ก็นับได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์การบริการของผลิตภัณฑ์ Google ได้เช่นกัน
      2.  ประเภทผลิตภัณฑ์หนัก (Hard Product) ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ต้องการขยายตลาดและนำเสนอสู่ตลาดให้กว้างขวางขึ้น จึงนำผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่นั้นมาเปิดร้านค้าทางออนไลน์ ซึ่งมีลูกค้าสั่งซื้อในระบบออนไลน์ ก็จะทำการเชื่อมโยงกับคลังสินค้าเพื่อดำเนินการส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง
      3. ประเภทผลิตภัณฑ์เบา (Soft Product) ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าสินค้าโดยทั่วไป เพราะผู้ขายไม่มีหน้าที่ในการส่งสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง เพียงแต่สร้างระบบขึ้นมาให้ลูกค้าดำเนินการเอง เพียงแต่ลูกค้าเลือกจนพอใจและเกิดทำการซื้อในระบบเองจนครบขั้นตอนที่กำหนดไว้ หลังจากชำระค่าธรรมเนียมสินค้าแล้วก็สามารถทำการส่งสินค้าด้วยตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “การดาวน์โหลด (Download)” และเก็บสินค้าไว้ใช้ได้ทันที เช่นการดาวน์โหลดภาพยนตร์ เพลง หรือโปรแกรมทางบัญชี โปรแกรมการใช้งานด้านบริหารงานบุคคล เป็นต้น
2. ราคา (Price) หมายถึง กลไกหรือเงื่อนไขที่ลูกค้าสนใจและยอมรับในผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณค่าที่เหมาะสมและยุติธรรมต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะกำหนดราคาโดยอาศัยปัจจัยหลายด้านมาเป็นตัวกำหนด ในการพิจารณาพิจารณาราคา เช่น ต้นทุนการผลิต การเพิ่มหรือลดราคาในอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของกลไกในเรื่องกำไรของผลประกอบการของกิจการ
      กลไกการตั้งราคาของสินค้านั้น สิ่งที่เจ้าของกิจการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกำหนดราคา ควรพิจารณามีหลักการดังนี้
      (1)    ถ้าตั้งราคาต่ำมากเกินไป อาจจะขายไม่ได้ เนื่องจากผู้บริโภคอาจไม่มั่นใจในคุณภาพ หรือบางครั้งอาจจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
      (2)  ความสะดวกในการซื้อ แต่ละภูมิภาคอาจจะกำหนดราคาชขายที่แตกต่างกัน
      (3)  ถ้าสินค้าตั้งราคาต่ำ ควรจะมีรูปแบบการขายแบบยกโหล หรือขายเป็นชุด
      (4)  การกำหนดราคา ควรบอกค่าเสื่อมราคา ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ระยะทาง ท้องถิ่นและภูมิภาค
    (5)   การตั้งราคา ควรคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน ชนิดเดียวกัน คุณประโยชน์อย่างเดียวกัน และความเป็นจริงของสภาพแวดล้อม
      ดังนั้น การตั้งราคา ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่การผลิตสินค้า (Product) เรื่องต้นทุนการผลิต การทำตลาด กลุ่มเป้าหมาย และทำการเก็บข้อมูลสำรวจตลาด และแนวโน้มในอนาคตว่าควรจะกำหนดราคาอย่างไร
3. สถานที่จัดจำหน่าย (Place) ร้านค้าทางออนไลน์บนเว็บไซต์เป็นสถานที่หรือร้านจัดจำหน่ายสินค้า
      สถานที่ตั้งและจัดจำหน่ายของการตลาดออนไลน์ หมายถึง ที่อยู่หรือ URL หรือเรียกอีกอย่างว่า Domain Name ซึ่งเป็นชื่อของเว็บไซต์ เช่น http://saimmedia.blogspot.com หรือ www.shelfbookz.com สำหรับ Domain Name นอกจากจะแสดงที่อยู่ของเว็บไซต์แล้ว ยังบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ หรือยี่ห้อ เช่น ชื่องเว็บไซต์ www.thaisecondhand.com โดยผู้บริโภคเมื่อเห็นชื่อแล้วจะคาดเดาหรือทราบได้เลยว่า เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้ามือสอง เป็นสินค้าที่ผู้ใช้แล้วนำมาเสนอขาย เพื่อให้การกำหนดสถานที่จัดจำหน่าย (เว็บไซต์) ให้ประสบความสำเร็จ ควรคำนึงถึงหลักในการตั้งชื่อ สถานที่จัดจำหน่าย ดังนี้
      (1)    กำหนดชนิด ประเภทในการตั้งชื่อให้ตรงกับประเภทของผลิตภัณฑ์
      (2)    ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มลูกค้าที่จะทำการตลาด
      (3)    การตั้งชื่อควรสั้นๆ ง่าย และสามารถจำง่าย
      (4)    สามารถค้นหาได้ง่าย และดาวน์โหลด (Download) ได้เร็ว
      (5)    ข้อมูลภายใย ภาพ เสียงคมชัดน่าสนใจและตอบสนองได้เร็ว
      (6)    ต้องเป็นข้อมูลและรายละเอียดที่เป็นจริง เชื่อถือได้และมีความปลอดภัย
การเปิดร้านค้า ในการทำการตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการควรพยายามศึกษาข้อมูลและเทคนิคต่างๆ แบบพิจารณาอย่างช้าๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะเทคนิคค่อนข้างซับซ้อน ขณะเดียวกันลูกค้าผู้บริโภคโดยทั่วไปยังไม่คุ้นเคยกับการตลาดแบบออนไลน์ เพราะในปัจจุบันลูกค้ายังไม่ค่อยมั่นใจในระบบมากนัก จึงต้องพยายามสร้างความมั่นใจในการทำการตลาดแบบให้ความรู้และความซื้อสัตย์ จึงจะทำให้การตลาดออนไลน์เข้าสู่การทำธุรกิจอย่างสมบูรณ์โดยเร็;  
4.โปรโมชั่น (Promotion) คือ กิจกรรมสื่อความหมายในการส่งเสริมการตลาดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้ได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการนั้นๆ โดยทั่วไปแล้ว การจัดกิจกรรมดังกล่าวจะผ่านพนักงานขาย (personal selling) กิจกรรมแสดงสินค้า ออกบู๊ธร้านค้า แต่รูปแบบของการตลาดออนไลน์จะแตกต่างออไปจากการจัดกิจกรรมแบบเดิมที่กล่าวมา การโปรโมทเพื่อส่งเสริมการตลาดนี้จะจัดอยู่บนเว็บไซต์ โดยอาศัยร้านค้าออนไลน์ ซึ่งมีรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การนำเสนอข่าวสารข้อมูล ส่วนลด ของผลิตภัณฑ์บนเว็บไซต์ การปรับปรุงออกแบบเว็บไซต์ ในการด้านการใช้คำ ใช้สี ภาพ ป้ายลิงค์โฆษณา ปุ่ม Link ตลอดจนการนำระบบ Social Network เข้ามาเป็นส่วนผสมในการโปรโมทผลิตภัณฑ์ก็ล้วนแต่มีความสำคัญ เพื่อสร้างจุดเด่นให้เกิดในกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
5. Social Network   หมายถึง เป็นสังคมเครือข่าย มีการเชื่อมโยง โดยอาศัยอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์เข้ากับระบบออนไลน์ เป็นรูปแบบของการสื่อสาร (communication) กันแบบ 2 ทาง (2 ways) โดยมีการส่งสารแล้วมีผู้รับสารและทำการโต้ตอบกันโดยทันทีในสมาชิกหรือกลุ่มเดียวกัน โดยระบบที่สนับสนุนสังคมเครือข่ายดังกล่าว คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก Facebook Twitter เพราะเว็บไซต์เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะสมนำมาประยุกต์ใช้ในการทำกิจกรรมทางด้านการตลาดในด้านการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ การเชิญเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด การประชาสัมพันธ์องค์กร หรือผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ อีกมากมายโดยที่ใช้งบลงทุนต่ำมากที่สุดเมื่อเทียบกับการทำกิจกรรมด้วยรูปแบบอื่นๆ ที่ผ่านมา และที่สำคัญ มีประสิทธิภาพอย่างน่าพอใจมากที่สุดในปัจจุบัน
6. Sales Promotion หมายถึง กิจกรรมส่งเสริมการขายบนร้านค้า (website) เป็นลักษณะการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างและส่งเสริมยอดขายโดยการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ ปิดเทอม เปิดเทอม เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามายังร้านค้า (website) อาจใช้หลักกลยุทธ์ทางการตลาดเข้ามาช่วย เช่น การส่ง Mail ไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การเข้าไปฝากข้อความยัง webboard ต่างๆ หรือแม่แต่การใช้ระบบ social network เข้ามาช่วยส่งเสริมในการจัดกิจกรรม เพื่อให้เกิดความสำเร็จ
7.  Personalization Service  หมายถึง การทำการตลาดโดยการบริการลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายแบบประชิดตัว โดยการอาศัยฐานข้อมูลที่มีอยู่เดิม เช่น ข้อมูลการสมัครสมาชิก ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า โดยการนำรูปแบบเข้าไปนำเสนอประชาสัมพันธ์ การส่งการ์ดอวยพร การนำเสนอรายการสินค้าราคาพิเศษในเทศกาลต่างๆ ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์และองค์กรจำกลายเป็นลูกค้าถาวร ลักษณะของการบริการอาจจะอยู่ในรูปของการส่งจดหมาย (Mail) การส่งข้อความทาง SMS เป็นต้น
8. Site Securit  หมายถึง การรักษาความปลอดภัยในระบบออนไลน์ในเว็บไซต์ที่เป็นร้านค้าในการทำธุรกรรม จะมีข้อมูลที่สำคัญ โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า ดังนั้น ถ้าไม่มีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัยเข้ามาป้องกัน อาจจะทำให้คู่แข่งหรือผู้ไม่หวังดีเข้ามาโจรกรรมข้อมูล นำไปใช้หาประโยชน์ในทางมิชอบ ในขณะเดียวกันก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่หน่วยงานและองค์กรด้ สำหรับมาตรการเบื้องต้นในการป้องกันข้อมูลมีรูปแบบดังนี้
    1. ก่อนที่จะเข้ามาค้นหาข้อมูลหรือเข้ามาโพสต์ข้อความ ต้องทำการสมัครสมาชิกเพื่อลงทะเบียนและการเช้ามาใช้งานทุกครั้งต้องใช้รหัสผ่าน
    2. การตั้งรหัสผ่านเข้าไปใช้งานบนระบบออนไลน์ ควรตั้งให้จำง่ายแต่ยากสำหรับผู้คนอื่นเพื่อให้คาดเดาได้ง่าย
   3. ไม่ควรตั้งรหัสผ่านอย่างเดียวกันเพื่อเข้าไปใช้งานหลายๆ เว็บไซต์ จะทำให้พวกแฮคเกอร์สามารถเข้าถึงระบบได้ง่ายและที่สำคัญผู้ขายต้องรักษาความลับของลูกค้า เช่น หมายเลขบัตรเครดิต ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ รายการซื้อสินค้า E-mail ของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ดูแลระบบเว็บไซต์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบฐานข้อมูล ในการขายจะต้องสร้างระบบการป้องกันและรักษาความปลอดภัยไม่ให้ข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่ออกไปและถูกโจรกรรม ต้องระบุนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า หรือ privacy policy ให้เคร่งครัด เพราะการรักษาความลับของลูกค้าก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและสร้างความภักดีให้เกิดขึ้นในใจลูกค้าอีกวิธีหนึ่งได้เป็นอย่างดี

F - Commerce


เราต้องยอมรับว่า Facebook (เฟชบุ๊ก) เป็นเว็บเครือข่ายสังคม (Social Network) ที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุดในเมืองไทยและนับวันก็ยิ่งจะมีผู้นิยมมากขึ้น แม้ว่าจะมี Social Network หลายตัวที่เปิดตัวมา หวังแย่งชิงลูกค้า (ผู้บริโภค) ที่จะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก เมื่อเร็วๆ นี้ก็มี Google Plus จากค่าย Google.com ที่ทำท่าว่าจะล้ม Facebook ให้ได้ แต่ก็พ่ายแพ้ไปอย่างไม่เป็นท่า ล่าสุดทำถ้าว่าจะมาแรงเป็น Social Network ใหม่เอี่ยม จาก www.Pinterest.com จุดเด่นเน้นการโชว์รูป ของเจ้าของเว็บหรือรูปที่ต้องการแสดง แต่จะแรงเท่า Facebook (เฟชบุ๊ก) หรือไม่นั้น ก็ต้องอาศัยเวลา แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้วงการ Social Network มีการพัฒนาสนองความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา

Facebook มีดีอะไรที่ทำให้สามารถยืนอยู่อย่างโดดเด่น และนับวันสมาชิกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น หมายความว่าผลประโยชน์อันมหาศาลก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จนบรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ก็มองด้วยความอิจฉาและความชื่นชม นอกจากคุณสมบัติที่ถูกใจและเข้าใจธรรมชาติของผู้ใช้งานที่ทำให้ Facebook เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น สิ่งสำคัญจับต้องได้คือ การเปิดกว้าง การปรับตัวรองรับความต้องการผู้ใช้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากเป้าหมายการสร้าง Facebook ครั้งแรกเพื่อเป็นการใช้ระหว่างเพื่อนแต่กระแสเริ่มแรงขึ้นของผู้บริโภคที่ต้องการปรับใช้ในการทำธุรกิจ ทำการค้า หรือเกี่ยวกับการใช้ส่วนตัวในด้านสาขาอาชีพต่างๆ Facebook ก็ปรับตัวเร็วในเมนูที่อำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมที่จะใช้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ นี้เองที่เป็นจุดเด่นที่ได้ปรับ Social Network ตัวอื่นๆ
ดังนี้นนักการตลาด นักธุรกิจทุกกลุ่มจึงนิยมหันมาใช้บริการ Facebook มากขึ้น ล่าสุดสามารถปรับใช้ในการทำการสนทนาการค้าขายได้อย่างเต็มตัว ส่วนจะมีลักษณะที่พิเศษอย่างไรนั้นเรามาทำการทบทวนคือว่า Facebook อีกครั้งเพื่อให้คนที่ยังไม่คุ้นเคย Facebook หรือคุ้นเคยแล้วจะได้เข้าใจในระบบนี้มากขึ้น เพราะเมื่อมีความเชี่ยวชาญมากๆ ย่อมทำให้การทำงานราบรื่นและเกิดประโยชน์และเราก็มาทำความรู้จัก Social Network ที่เก่งแห่งยุคที่เรียกว่า Facebook กันดีกว่า 
 Facebook คืออะไร
Facebook (เฟชบุ๊ค) คือ Social Network ที่เป็นเครือข่ายสังคมในระบบออนไลน์ที่เป็นเครื่องมือบริการสมาชิกให้สามารถเชื่อมโยงติดต่อกันได้เป็นโลกออนไลน์ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ให้เขียนบันทึกข้อความ ภาพ หรือเรื่องราวต่างๆได้โดยเสรีและทำการเผยแพร่ไปได้ทั่วโลกให้สมาชิกหรือกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายเดิมกันได้อ่านได้ทราบ ในเมื่อหาทุกอย่างตามที่ต้องการ
ครั้งแรก Facebook ถูกพัฒนาขึ้นโดยนาย Mark Zuckerburg สมัยนั้นเขาสร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายเป็นเครือข่ายติดต่อระหว่าเพื่อนสู่เพื่อน เขาสร้างขึ้นกับเพื่อน 2 คน เมื่อครั้งที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมือ่ปี พ.ศ.2547 ต่อมามีผู้นิยมใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ ชั่วข้ามคืนจนไปสู่ทุกมุมโลกแม้แต่ในประเทศไทย ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งที่สมาชิกส่วนตัวและสมาชิกแบบกการทำธุรกิจ

Facebook นอกจากเป็น Social Network บริการส่วนบุคคลแล้วยังพัฒนาเมนูหรือรายการ เทคนิคต่างๆ มากขึ้นเพื่อสนองตอบลูกค้าที่ยังต้องการใช้เป็นพื้นที่ในการทำธุรกิจ เป็นห้างร้าน เพื่อแสดงและโฆษณาสินค้า หรือเป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ยังปัจจุบันมีอยู่ การที่รองรับการทำงานขึ้นแทนที่จะใช้ได้เฉพาะใน Computer ในสำนักงานทั้งนั้น ระบบ Social Network ที่ยังเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน แท๊บแล็ตที่สามารถติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ยิ่งทำให้ ipod iphone blackberry สามารถเปิดรับส่งข้อมูลเติบโตได้สะดวกยิ่งเพิ่มจำนวนผู้ที่ใช้ Facebook ได้มากขึ้นทวีคูณ