วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

โสเภณียุค 3,000 ปี ก่อนพุทธกาล




            เทวทาสี" นางต้องห้าม อาชีพ ที่ทรงเกียรติของสตรีอินเดีย เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน กลับกลายมาเป็นโสเภณีชั้นต่ำ

            แต่เดิมวัฒนธรรม อันเก่านาน ตั้งแต่โบราณกาลมา ในภาคใต้ของอินเดีย เทวทาสี หรือ นางต้องห้าม นั้น คือผู้หญิงที่อุทิศตน เพื่อบูชาและรับใช้เทพเจ้า ในวัดหรือวิหาร ซึ่งพวกเธอเหล่านั้น จะอยู่ที่วิหาร นั้น ไปตลอดชีวิตโดยไม่แต่งงานกับชายใด ๆ

             โดยการ เข้าพิธี Pottukattu ที่ค่อนข้างคล้ายกับ พิธีแต่งงานทั่วไป เมื่อเข้าพิธีนี้แล้ว เหล่าเทวทาสีพวกเธอ คือเจ้าสาวของเทพเจ้า  ต่อมา งานของพวกเธอ นอกเหนือจากการดูแลวัด และการทำพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแล้ว ผู้หญิงเหล่านี้ ยังได้เรียนรู้ ฝึกฝนประเพณี ศิลปะชั้นสูง เช่น ภะรัตนาฏรยัม, คูชิบูดี และการรำ Odissi โอดิสสี  

            ทั้งสถานภาพ ทางสังคมของพวกเธอจัดอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการรำนาฏศิลป์และเล่นดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของการบูชาเทพเจ้า และทุกครั้งที่พวกเธอร่ายรำ อย่างสวยงาม เชื่อกันว่ามันเกิดมาจากการเข้าทรง ที่ติดต่อ จากเทพเจ้า

            กฎเหล็ก นั้น เทวทาสีจะไม่สามารถแต่งงานกับมนุษย์ผู้ชายได้ เพราะพวกเธอเป็นเจ้าสาวของทวยเทพในศาสนาฮินดู ที่จะมีหน้าที่คล้ายกับ นางโยคีนี ที่ปฏิบัติศาสนากิจ

            แต่ประหลาดมาก ที่พวกเธอกลับ สามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์กับชายใดก็ได้ที่ พวกเธอถูกใจ ไม่ว่าชายคนนั้น เขาคนนั้นจะมีภรรยาหรือไม่  นอกจากนั้น เทวทาสีจะมีอภิสิทธิ์เหนือผู้ชายธรรมดา ต่างจากหญิงอินเดียทั่วไป ที่ต้องคอยปรนนิบัติสามี ประดุจสาวใช้ 

            แต่ คุณเชื่อไหมว่า เทวทาสี สามารถเลือกชายใดที่เธอถูกใจ เพื่อมามีความสัมพันธ์ได้ ตามที่ตนต้องการ โดยที่ไม่ต้องผูกมัด หรือแต่งงานด้วย และในขณะเดียวกัน เทวทาสีหรือนางต้องห้าม บางคนก็สามารถเลือกที่จะอยู่เป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีวิตได้เช่นกัน ด้วยความเป็นอิสระแบบนี้ จึงทำให้อาชีพนี้เป็นอีกทางเลือกที่สตรีอินเดียโบราณ และขอมโบราณใฝ่ฝัน มากที่สุด

            ด้วยเหตุว่า หญิงทั่วไปที่อยู่ในสังคมแบบล้าหลัง และโบราณมาก ๆ แบบนี้ พวกเธอล้วนแต่ไม่มีอิสระ และชีวิตทุกอย่าง ของพวกเธอ จะอยู่ภายใต้กฎเหล็กของเพศชายทั้งสิ้น

            ซึ่งเรื่องนี้ ก็ยังมีนักประวัติศาสตร์ ชาวตะวันตก สาขาอินเดียโบราณ ให้ข้อคิดเห็นว่า เขาเชื่อว่าประเพณี นางต้องห้าม หรือเทวทาสีนั้น น่าจะวิวัฒนาการมาจาก ตำแหน่ง นครวาดู Nagar vadhu ซึ่งมีมานานมากแล้ว ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงยุคพุทธกาล

            ดังได้ปรากฏนามก่อน ที่เจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติ แล้ว  จนเริ่มต้น เรื่องนี้ เริมจาก เจ้าหญิงของนคร  คือ พระนางอมราปาลี หรือ อัมพาปาลี  ได้รับตำแหน่งนี้มาก่อนใคร  ดังนั้น คำว่า วาดู นั้น แปลว่า เจ้าสาว ของนคร มันคือตำแหน่งเรียก ในความหมายว่านางงามเมือง ในยุคโลกโบราณ นั้นเอง 

            นับว่าเป็นตำแหน่ง ที่หญิงสาวทุกคน ในวัฒนธรรมอินเดีย โบราณ ในยุครั้น หญิงทั่วไป ต่างก็ใฝ่ฝัน และเข้าแข่งขันเพื่อจะได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้  ซึ่งเวทีนี้คือ นครเวดู  หญิงที่ถูกคัดเลือกเข้ามา จะต้องเป็นหญิงสาว หน้าตาดี ทั้งยังมีความสามารถ ในด้านศิลปะ  เช่น ดนตรี  การร่ายรำ  และหญิงเหล่านั้น จะต้องเป็นลูกสาวของคหบดี ผู้มีฐานะดี เช่นเดียวกับ เรื่องของ นางอมราปาลี

            กล่าวกันว่า  ในยุคนั้น เนื่องจาก ตำแหน่งนี้ ต่างเป็นผู้หญิงที่รูปงามมาก จนบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างก็อยาก จะแต่งงานกับสตรีที่น่าตาดีเหล่านั้น และบางนางก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว  จึงเกิดปัญหายุ่งมากมาย

            ซึ่ง ประวัติศาสตร์ ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้ามนุเทพ แห่งกรุงเวสาลี ได้สังหาร บุษบากุมาร ซึ่งเป็นคู่หมั้นของ นางอมราปาลี  และแต่งตั้งนางให้เป็น นางนครวาดู ของเมือง ในวันถัดมา ตำแหน่งนครวาดู นี้จะมีหน้าที่ถวายการรำ ต่อหน้าพระมหากษัตริย์ และใครก็ตามที่จ้างนางให้รำ ซึ่งค่าตัวการรำของสตรี ในตำแหน่งนี้จะสูงมาก ซึ่งด้วยราคา ค่าตัวที่สูงมากนี้ จึงไม่มีใครสามารถจ้างนางได้ นอกจากพระมหากษัตริย์, เจ้าชาย และ เจ้าเมืองต่าง ๆ เท่านั่น

            นางนครวาดู หรือหญิงงามแห่งพระนคร เป็นอาชีพที่ได้รับเกียรติมากในสมัยนั้น ไม่มีใครมองว่ามีเป็นสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับหญิงงามเมืองในยุคใหม่ แต่ในโลกโบราณ แห่งนครวาดู เปรียบเสมือนเทวีที่เลอโฉม ผู้คนต่างเคารพบูชา  เพราะมีภารกิจ ที่สูงส่งนั้น นอกจากหน้าที่ บูชาเทพเจ้า แล้ว พวกเธอจะถวายตัวเพื่อ บำรุง บำเรอให้แก่ผู้มีอำนาจในแผ่นดิน เท่านั้น

            หลังพระพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพล ในศาสนาพราหมณ์ ฮินดูในอินเดียมากขึ้น แล้ว ศาสนาพุทธก็เจริญรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ เป็นลำดับ ต่อมาหญิงงามเมือง ก็ตื่นตัวมากมาย ในการศึกษาพระธรรมขององค์ พุทธะ อย่าง พระนางอมราปาลี เกิดความทุกข์มากขึ้นจนสุกงอม ในที่สุดนางทุกข์ทรมานมากจน ไร้ที่พึ่ง จึงออกบวช และจนถึงที่สุดนางก็ สามารถบรรลุธรรม เข้าถึงพระอรหันต์ ได้ในที่สุด

            เหมือนดูว่า ในยุคนั้นคนที่นับถือ ศาสนาฮินดูในอินเดีย เริ่มมีการให้ความสำคัญกับ ศีลธรรมจรรยามารยาท ความสำรวม และ การลดละกิเลส ตัญหา ตามแบบอย่างพุทธศาสนา มากยิ่งขึ้น  

            ดังนั้น อาชีพ นางงามเมือง  นางนครวาดู ที่คัดเลือกหญิงงาม และเก่งในเรื่องศิลปะ และการร่ายรำที่ถือว่า เป็นไอคอนของสตรี ในยุคนั้น เริ่มจะไม่เป็นที่ นิยม และได้หายสาบสูญไปในช่วงนั้น แต่ปรากฏว่ามีอาชีพใหม่ เกิดขึ้น คือ เหล่าเทวทาสี เริ่มเข้ามาสู่พุทธะมากขึ้น มาขอบวช เป็นนางภิกษุณี ที่ประพฤติพรหมจรรย์ ได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณ ที่จะครองพรหมจรรย์ ละทิ้งหน้าที่ร่ายรำ และทำพิธีบูชาเทพเจ้าในวิหาร จนหมดสิ้น

            แต่ใช่ว่า ลัทธิเทวทาสี นี้ จะหมดสิ้นไปหมด แต่ก็ยังมี จักรวรรดิของแคว้นโจลละ ยังให้สนับสนุนระบบ เทวทาวี  ซึ่งในภาษาทมิฬ เป็นที่รู้จักในนามว่า เทวาอธิการ Devar Adigalar หมายถึง ผู้รับใช้ของพระเจ้า จะมีทั้งเทวทาส และเทวทาสี ชายและหญิง ที่อุทิศตนเพื่อรับใช้วิหารและเทวรูป ทั้งยังมีการพัฒนาเครื่องดนตรีและการร่ายรำที่ใช้ในช่วงเทศกาลของวัด 

            คำจารึกระบุว่ามีนักเต้น 400 คนพร้อมด้วยอาจารย์และเครีองดลตรีในวิหาร ซึ่งได้เงินบริจาคสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน ของพิธีกรรม  เช่น ค่าน้ำมัน ขมิ้น ใบพลู และถั่ว  นอกจากนี้เทวทาสีชายชื่อดังของวิหารนามว่า นันฑุวนาร  ยังได้สอน พระธิดาของกษัตริย์โจลละ ในการรำนาฏศิลป์ อีกด้วย

            เมื่ออาณาจักรโจลละ แผ่อำนาจ มากขึ้น จำนวนของวัดที่มีเทวทาสี ก็เพิ่มขึ้นทั่วดินแดน ในไม่ช้าจักรวรรดิอื่น ๆ ก็เริ่มเลียนแบบ อาณาจักรโจลละ และมีเทวทาสี เช่นกัน

            ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อมีรุ่งเรื่อง ก็ต้องมีวันตกต่ำ เช่นกัน  ประเพณีเทวทาสี ก็เริ่มเสื่อมถอย ลงสู่ความตกต่ำ เมื่อถึงยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย ผู้มีอำนาจ เจ้าเมือง คหบดีฯ ที่เป็นโยมอุปัฏฐากโบสถ์วิหารที่ มีเทวทาสี นั้นต่างก็สูญเสียอำนาจ  

            พวกอังกฤษไม่เข้าใจว่า เทวทาสี คืออะไร และมองว่าอาชีพเทวทาสี หรือนางต้องห้ามนี้ ก็เป็นเพียงแค่นักแสดงละครเร่ เท่านั้น ฝ่ายปกครองอังกฤษ ในยุคนั้น จึงได้ออกกฎหมายห้ามประเพณี และวัฒนธรรมอินเดียโบราณหลายอย่าง  ทั้งยังเปิดซ่องโสเภณี มากมายทั่วเมืองหลวง โดยซ่องส่วนใหญ่เป็นของทหารชาวอังกฤษ  จนทำให้เกิดโรคหนองใน ระบาดอย่างหนักในเวลาต่อมา

            ดังนั้น ความพยายามที่จะควบคุมการแพร่กระจาย ของกามโรค รัฐบาลอังกฤษจึงได้ออกคำสั่งว่าโสเภณีทุกคน ต้องลงทะเบียนตัวเอง และเทวทาสี ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ ถูกบังคับให้ลงทะเบียนด้วย เนื่องจากพวกอังกฤษคิดว่าพวกเธอเป็นโสเภณีประเภทหนึ่ง

            เหตุการณ์นี้ อันเป็นผล เนื่องมาจากการเสื่อมถอยของโยมอุปฏาก ของวัดที่ มีเทวทาสี  เด็กสาวหน้าตาดี มากมาย ที่ทำหน้าที่เป็นนางต้องห้ามต่าง ก็ไร้ที่พึ่ง ไม่มีเสาหลัก พวกเธอเริ่มถูกลวนลามทางเพศและล่อลวง จนพวกเธอ ถูกกลืนจนกลายเป็นโสเภณี เต็มตัวรองรับ บำบัด ความหิว กระหาย ของชายอินเดียเอง และทหารอังกฤษ 

            และในที่สุด เทวทาสี ก็ค่อย ๆ เริ่มจางหายไปจากวัฒนธรรมอินเดีย  แต่ปรากฏว่า เมื่อ ปี1988 พบว่า ความจริง เทวทาสี ไม่ได้หายไปจากอินเดีย  เพราะ ปรากฏว่า ในรัฐทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคกลางตอนล่าง ก็ยังมีวัดฮินดู มากมาย ที่มีประเพณีคล้าย ๆ กัน แต่ อยู่ในบริบทที่แย่กว่าเดิม ในชนชั้นล่าง เช่น วัณณะจัณฑาล   วัณณะจัณฑาล นี้ก็มีเทพเจ้า ในคัมภีร์ ภัควะคีตา ถือว่า เป็นหนึ่ง ในเทวีในศาสนาฮินดู ที่พวกวรรณะ ล่าง ๆ นับถือ นั้นก็คือ พระแม่เยลลัมม่า ซึ่งจะถูกนับถือในหมู่ชนชั้นล่าง และสาวประเภทสอง และผู้หญิงหากิน

            ตามตำนาน ในศาสนา เล่าว่า พระแม่เยลลัมมา นั้นเมื่อครั้งจุติเป็นมนุษย์เป็นลูกสาววรรณะพราหมณ์ เธอมีนามว่า เรณุกา  ซึ่งถูกจับให้แต่งงานกับนักปราชญ์ผู้หนึ่ง ซึ่งเรณุกาก็เฝ้าปรนนิบัตรับใช้สามีอย่างดีมาตลอด  ด้วยการไปตักน้ำจากแม่น้ำมาให้สามีในการบูชาเทพ

             แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เธอไปตักน้ำที่แม่น้ำ มีพวกเด็กกำลังเล่นน้ำอยู่จำนวนมาก จนทำให้น้ำขุ่นเธอจึงตักมาช้า สามีจึงโกรธคิดว่าเธอนอกใจ จึงสั่งให้ลูกชายตัดศีรษะผู้เป็นแม่เสีย แต่ไม่ว่าเขาจะสั่งลูกชายถึงสี่คนก็ไม่มีใครยอมทำตาม  ปราชญ์ผู้เป็นสามี จึงสาปแช่งให้ลูกชายทั้งสี่คนกลายเป็นขันที เหลือแต่ลูกชายตัวร้ายคนที่ 5  ที่ยอมจะทำตาม

            ครั้น ลูกชายคนที่ 5  ตัดหัวแม่ของตัวเอง ด้วยความดีในความเพียรบูชาเทพของนาง  จึงทำให้ศีรษะของเรณุกา งอกออกมา ทุกทิศทุกทาง จนไม่สามารถตัดได้หมด หลังจากนั้นนางก็กลายเป็นพระแม่เยลลัมมา  มาตั้งแต่นั้นบัดนั้น  นางจึงมีบริวาณ คือลูกชายทั่งสี่ ที่กลายเป็นกระเทย หรือขันที

ดังนั้น พระแม่เยลลัมมา จึงกลายเป็นเทพฝ่ายหญิงที่มีไว้ ให้สำหรับคนชั้นล่าง เช่น จัณฑาลและกระเทย เพศที่สาม และ โสเภณี ชนชั้นเหล่านี้ ต่างก็บูชานาง เพราะนางเป็นเทพที่ประทานพรให้แก่คนวรรณะล่าง ให้ได้มีสิทธิกลับชาติ มาเกิดในวรรณะที่สูงขึ้น

            ส่วนที่วิหารของ พระแม่เยลลัมมา เทวทาสีของนางไม่ได้สูญหายไปแต่อย่างใด แต่ยังเป็น เทวทาสีสำหรับวิหารเทพที่ไว้ให้ชนชั้นล่าง ได้บูชา กลายเป็นพิธีกรรมที่น่าเกลียด ที่ต่างจากเทวทาสีในวิหารเทพของชนชั้นสูง

            เพราะพราหมณ์หรือพระที่ประกอบพิธีกรรมนั้น ต่างก็เอาเปรียบวรรณะล่าง ๆ จนทุกวันนี้ เทวทาสีเป็นประเพณีที่ถูกจัดว่า ผิดกฎหมายโดยรัฐบาลอินเดีย แต่ในทางปฏิบัติกลับยังปฏิบัติกันอยู่ไม่ต่างจากระบบวรรณะทั่วไป

            ศาสนาฮินดู บางเรื่อง เชื่อว่า หากหญิงจัณฑาล ชาติหน้า ถ้าอยากกลับมาเกิดในวรรณะที่สูง สาวประเภทสองที่อยากเกิดเป็นหญิง ก็ให้มาเป็นเทวทาสีที่วิหารเจ้าแม่เยลลัมมา  ในวรรณะล่าง ๆ การมีลูกสาวคือภาระ เพราะต้องเก็บเงินไว้ เพื่อไปสู่ขอผู้ชายมาแต่งงาน

            เพราะตามประเพณีฮินดูมองว่าชายเริ่มเกี้ยวพาหญิงเป็นเรื่องต่ำ และผิดประเวณี พ่อแม่หญิงต้องเป็นฝ่ายหาคู่ให้ลูกสาว โดยการไปทาบทามขอผู้ชายดี ๆ มาให้แต่งงานโดยต้องมีสินสอดให้พ่อแม่ฝ่ายชาย ครั้นเมื่อแต่งงานไปแล้ว ลูกสาวก็กลายเป็นสมบัติของครอบครัวฝ่ายชาย

            ดังนั้น ในวรรณะที่สูง ๆ จะมีการจัดหาคู่ให้ ลูกสาว ลูกชายผ่านทางพราหมณ์ของวัด ในชุมชนที่จะจับคู่ให้ตามวรรณะ และวันเดือนปีเกิดที่เหมาะกัน

            ในยุคปัจจุบันประเพณี การนำสินสอดไปสู่ขอ หรือการคลุมถุงชน นั้น ถูกจัดว่า ผิดกฎหมายของอินเดีย ในระบบวรรณะของอินเดียสาเหตุที่พ่อแม่ฝ่ายหญิง ต้องไปสู่ขอฝ่ายชายเพราะผู้ชายวรรณะสูงสามารถมีภรรยาวรรณะต่ำกว่าได้ และมีลูกที่มีวรรณะให้และเพื่อเป็นของขวัญขอบคุณที่ผู้ชายจะมาดูแลลูกสาวให้ตลอดชีวิต

             แต่ในทางกลับกัน ศาสนานั้น ยังห้ามหญิงที่มีวรรณะสูง ระดับวรรณะไวศยะขึ้นไปแต่งงานกับชายที่มีวรรณะต่ำกว่า ระดับวรรณะไวศยะ เพราะลูกที่เกิดมาจะเป็นจัณฑาล

            แต่ในยุคนี้ ทางรัฐบาล ได้ประกาศยกเลิก การใช้สินสอดสู่ขอแล้ว เพราะนำไปสู่ปัญหาการหลอกลวง เพราะที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่พ่อแม่ ของหญิงวรรณะต่ำ หรือจัณฑาลเก็บเงินตลอดทั้งชีวิต เพื่อไปสู่ขอผู้ชายวรรณะสูงให้ลูกสาว เพื่อที่จะได้เป็นการยกระดับวรรณะตนให้สูงขึ้นในรุ่นหลาน

             แต่พ่อแม่ของชาย ที่วรรณะสูงกว่า รับเงินไว้แล้ว แต่ไม่ยอมทำตามสัญญา นอกเหนือจากกรณีที่ชายวรรณะสูงเกิดมาชอบพอหญิงวรรณะต่ำด้วยตัวเอง  เท่านั้น นางจึงมีสิทธิเข้าบ้านเป็นภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎวรรณะ และลูกของหญิงวรรณะต่ำ กว่าจะมีวรรณะที่สูงขึ้นทันที

            แต่ประเพณีสินสอด  ยังมีคนแอบทำจนทุกวันนี้ แม้จะมีกฎหมายห้าม เพราะครอบครัววรรณะต่ำต้องการจะยกระดับฐานะให้ลูกสาวของตน นั้นเอง

            ตักฉาก กลับเข้าเรื่องเทวทาสีในชนชั้นจัณฑาล อีกครั้ง  พ่อกับแม่จะส่งลูกสาวของตนที่อายุ11-12เข้าเป็นเทวทาสี ในวิหาร เพราะไม่มีเงินจะแต่งลูกสาวให้ชายวรรณะสูงกว่า ดังที่ได้กล่าวมา

             พวกเธอจะต้องอาบน้ำ ที่บ่อหน้าวิหาร และทาขมิ้นที่หน้าผาก แต่งตัวสวยๆ มีมาลัยคล้องคอหลังจากการเป็น เทวทาสีแล้ว เด็กหญิงเหล่านี้เมื่ออายุครบ13 -14 ปี จะต้องเสียพรหมจรรย์ โดยการร่วมหลับนอนกับพราหมณ์จากวรรณะสูง ก่อน

             ต่อมา พราหมณ์นั้น จะส่งพวกเธอต่อไปให้กับปัณทาส  ซึ่งปัณทาสนี้ ก็มีหน้าที่ทำพิธีถวายพวกเธอ ให้เป็นเครื่องบูชาเทพ และพวกเธอจะต้องร่วมหลับนอนกับปัณทาส อีกจนปัณทาส พอใจ นี้คือความไม่เป็นธรรม หรือความโหดร้าย ของลัทธิไร้เหตุผลนี้

            พวกเธอจะบำเรอกาม ชายที่เชื่อว่า เป็นตัวแทนเทพเจ้านั้น ในวิหารแห่งนี้หลายปี  แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป นางใดหมดความสาว หมดความสวย ร่างกายเสื่อมสภาพ พวกเธอจะถูกขับออกจากวิหาร พร้อมกับเงิน จากการเป็นเทวทาสี  ให้กลับไปหาพ่อแม่ เอาเงินให้ลูกชาย เลี้ยงดูพ่อแม่ต่อไป

             นับต่อจากนั้นไป จะไม่มีชายใด มาแต่งงานกับพวกเธออีกเลย เพราะพวกเธอไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ ทั้งไม่มีอาชีพใด ๆ  พวกเธอมีอาชีพเดียวที่ทำได้ คือการเป็น โสเภณีชั้นต่ำ ในชุมชนโสเภณี ซึ่งค่าตัวของพวกเธอ จะต่ำมากเพียงแค่ 20 - 40 รูปี ซึ่ง คิดเป็นเงินดอลล่า เพียง 7 ดอลล่า เท่านั้น

             สาวบางคนอาจเก็บเงิน จนตั้งตัวจนเป็นแม่เล้าได้ และเปิดห้องให้บรรดาโสเภณีที่เคยเป็นอดีตเทวทาสี มาเช่าห้องเล็ก ๆเหล่านี้ เพื่อบริการลูกค้า ซึ่งจะมีสาวประเภทสอง หรือกระเทยที่เป็นอดีตเทวทาสีรวมอยู่ ในอาชีพนี้ด้วย

            แต่วิหารเจ้าแม่ เยลลัมมาในแต่ละท้องถิ่น นั้น ก็ไม่ได้มีข้อปฏิบัติเหมือน ๆ กัน บางวิหารเด็กสาวที่โดนพ่อแม่ส่งมาเป็นเทวทาสี อาจไม่ต้อง พลีกายหลับนอน กับพราหมณ์ เพื่อเป็นเครื่องบูชา แลกกับการจะกลับชาติมาเกิดในวรรณะที่สูงในชาติหน้า ก็ได้  แต่บางวิหารเด็กสาวที่มาเป็นเทวทาสี นั้นจะต้องทำหน้าที่เป็นโสเภณีร่วมหลับนอน กับผู้ชาย แบบฟรี ๆ เพื่อเป็นการทำทาน ให้ตัวเองกลับชาติมาเกิดในวรรณะสูง

            สำหรับคืนแรก ของการเป็นเทวทาสี ในวิหารประเภทนี้ เด็กสาวจะถูกจับแต่งกายด้วยชุดสวยงามและมีพราหมณ์ มาทำพิธีให้ และมีการประมูลว่า ชายใดยอมจ่ายเงินค่าเปิดบริสุทธิ์สูงสุดให้แก่วัด ก็จะได้หลับนอนกับเทวทาสีคนใหม่ ที่เป็นสาวพรหมจรรย์ คนที่มาใหม่นี้

             เรื่องนี้ก็มี หลายครั้ง ที่บุตรชายจากครอบครัวที่วรรณะสูง ซึ่งพ่อแม่อยากให้มีประสบการณ์การครองเรือน ก่อนการแต่งงานจริง ก็จะส่งลูกชายของตนมาประมูล เพื่อเปิดบริสุทธิ์กับเด็กสาวเทวทาสี ซึ่งหลายครั้ง ได้สร้างความทรมาน ให้แก่เด็กสาวเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากการโดนข่มขืน เพราะพวกเธออายุ ยังน้อยมาก

            หลังจากการเปิดบริสุทธิ์แล้ว พวกเธอจะยังคงอยู่ที่วัดและทำหน้าที่เทวทาสีโดยการร่วมหลับนอนกลับชายแปลกหน้า ที่ไม่มีเงินจะไปเที่ยวผู้หญิง เพื่อเป็นการทำทาน เช่น คนขับรถบรรทุก ชายจัณฑาลเก็บอุจจาระ คนทำความสะอาดส้วม และชายชั้นต่ำอื่น ๆ  เพื่อเป็นทานให้ได้กลับชาติมาเกิดในวรรณะสูงกว่าเดิม  ซึ่งโดยคุณสมบัติแล้ว เทวทาสี นี้ จะเป็นเด็กหญิงสาว วัยรุ่นเท่านั่น และหากพวกเธออายุมากขึ้น ย่าง ถึง30 ปี เมื่อไหร่ ก็จะต้องออกจากวัดไป  

หลังจากนั้นพวกเธอ จะไม่มีคนแต่งงานด้วย และในที่สุด ก็ลงเอยเป็นโสเภณี  เรื่องนี้ ก็นักสิทธิมนุษยชนในอินเดีย ได้กล่าวว่าในแต่ละปีมีเด็กหญิงและเด็กสาวถูกครอบครัวส่งเข้ามาเป็น เทวทาสีในวัดต่าง ๆ รวมกันสูง ถึง 6,000 คน พวกเธอถูกใช้เป็นแรงงานทาสทางเพศอย่างหนัก และลงเอยด้วยการติดกามโรคและโรคเอดส์ตาย

            นี้คือ กฎแห่งชีวิต บางตอนของมนุษย์  ตามหลักพุทธศาสนา ได้สอน เราว่า ชีวิต ทุกชีวิต มีส่วนที่เป็นเหตุ เป็นผล อาศัยกันและกัน สืบต่อเนื่องกันไปอย่าง ไม่มีทางขาดสาย เมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเหตุให้อีกสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น สืบต่อกัน ไม่ขาดสาย เป็นลูกโซ่ ไม่มีวันจบสิ้นได้ และไม่รู้เบื้องต้น ไม่รู้เบื้องปลาย

----------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น