วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

 คริปโทเคอร์เรนซี  (Cryptocurrency) บิตคอยน์ คืออะไร



 คำว่า บิตคอยน์ นั้น ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป ก็คงจะไม่รู้และไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร แต่ถ้า ใช้คำว่า บาท และดอลล่า  นั้นก็พอจะเข้าใจ ว่าเป็นสกุลเงิน เช่น เงิน บาท เงินดอลล่า และก็เคยสัมผัสกันมาแล้วก็บ่อยครั้ง บรรดาเงินเหล่านี้ก็จะสามารถ แลกเปลี่ยนใช้ในการซื้อสิ่งของตามที่ต้องการได้ แต่เฉพาะภายในบางประเทศที่กำหนดไว้ เท่านั้น แต่ถ้าจะใช้ซื้อสินค้า ในประเทศอื่นนั้น ก็จะยุ่งยากต้องมีสถานที่แลกเปลี่ยนเงิตราแปลงค่า ตีค่าเทียบค่าของเงินนั้นก่อน ซึ่งก็ค่อนข้างยุ่งยากในหลายพื้นที่ ในโลก นับว่ามีสะดวก ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ในขณะที่โลกกำลังเจริญ และหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จึงมีบุคคลที่อาจเรียกได้ว่าปราชญ์แห่งยุค คิดระบบเงินตราขึ้นมาใหม่

 เพื่อให้มนุษย์ ยุคใหม่ นำมาใช้ในการทำธุรกรรม ที่ง่ายคล่องตัว รวดเร็ว และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ที่เรียกว่าไร้พรมแดน โดยอาศัยอุปกรณ์ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ

บิตคอยน์ จึงถูกสร้างขึ้น บิตคอยน์ จัดว่าเป็น ประเภทหนึ่งของ สกุลเงินดิจิทัล หรือ เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งมีความหมายถึง สกุลเงินที่ผ่านการเข้ารหัส (Cryptography) และอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งคุณสมบัติ  ที่ล้ำลึกทั้ง 2 ประการที่กล่าวถึงนี้ จึงที่ทำให้เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ไม่สามารถปลอมแปลง หรือเลียนแบบได้  ทั้งยังใช้งานคล่องตัว รวดเร็ว หายกังวล เพราะสามารถโอนย้ายได้โดยผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ต โดยผ่าน ในรูประบบของบล็อกเชน (Blockchain) อีกครั้ง  ที่เป็นระบบที่สร้างมา ที่คอยทำหน้าที่บันทึกรายการ โอนเงินดิจิทัล และแสดงผลยืนยันว่า รายการนั้น ๆ ได้เกิดขึ้นจริงและถูกต้อง สามารถสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้การโอนย้ายมูลค่า ในรูปแบบดิจิทัล บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถเกิดขึ้นได้ และปัจจุบันระบบนี้กำลัง แทรกซึมเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ อย่างไม่รู้ตัวและกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

            บิตคอยน์ นั้น กำหนดว่าเป็นเหรียญ ชื่อคริปโทเคอร์เรนซีเหรียญแรก ที่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เรื่องนี้อุบัติขึ้น ครั้งแรก ในปี 2008 ได้มี White Paper ของบิตคอยน์ออกสู่สาธารณะ และมีการโอนเหรียญขึ้นจริง เป็นครั้งแรก บนบล็อกเชนบล็อกแรก ในปี 2009

            บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ ยังไม่เคยถูกแฮ็ค หรือถูกล่วงข้อมูล ทั้งยังไม่มีใคร สามารถฉ้อโกงไปจากระบบได้เลย นับตั้งแต่วันแรกที่มันปรากฏขึ้นมาบนโลกใบนี้

    บิตคอยน์  จึงถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นของเงินสกุลใหม่ และโลกยุคใหม่ โลกสกุลเงินดิจิทัล นี้ทำให้มีเหรียญอื่นๆ เกิดตามมาจำนวนนับหมื่นเหรียญ และมีมูลค่าตามราคาตลาดรวม ของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยใช้เวลาจากวันแรก มาเพียง 12 ปีกว่าเท่านั้น และมูลค่าตามราคาตลาดของเหรียญบิตคอยน์เอง มีสูงถึง 6 แสนล้านเหรียญ และมีราคาต่อ 1 เหรียญกว่า 1 ล้านบาทในวันนี้ และคงไม่เป็นที่สงสัยในความมีตัวตน ของสินทรัพย์นี้อีกต่อไป

            การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี แบบก้าวกระโดด นี้ทำให้โลกการเงินเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ กันเลยที่เดียว ระบบการใช้เงินแบบปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่ในรูปแบบของ ธนบัตร หรือ เหรียญ ที่ผ่านมาที่เราคุ้นเคยกันดี เริ่มจะลดลงอย่างมหาศาล โดยที่จากเดิม ต้นทุนของระบบการชำระเงินในปัจจุบันที่มีใช้เงินในรูปแบบกระดาษ และเหรียญนั้น อยู่ที่เฉลี่ย 0.5-0.9% ของ GDP

            อีกทั้งยังทำให้ต้นทุนของ การโอนเงินระหว่างประเทศได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากการโอนเงินบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้นก็เหมือนโลกที่ไร้พรมแดน ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคและต้นทุนในการโอนย้ายมูลค่าระหว่างกันอีกต่อไป  ดังนั้นเราจะเห็นการโอนเงิน แบบเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี บางเหรียญจากประเทศไทย ไปยังสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นและทำรายการสำเร็จในเวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที โดยมีค่าธรรมเนียมในการโอนผ่านบล็อกเชนไม่ถึง 1 บาทเท่านั้น  และผลที่เกิดขึ้นนี้เอง ได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งาน และการเพิ่มขึ้น ของปริมาณในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในโลกของ คริปโทเคอร์เรนซี กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

            ปัจจุบันนี้ ความสนใจในสินทรัพย์แบบดิจิทัล  ดังกล่าวนั้น กำลังเกิดขึ้นในรูปแบบของการลงทุน การเก็บมูลค่า การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบของการทำ smart contract การเขียนแอปพลิเคชัน และ การเก็งกำไรในความผันผวนของราคา ซึ่ง ความต้องการต่างๆ เหล่านี้เอง ได้ผลักดัน จนทำให้เกิดมูลค่า ในตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัล นั้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ที่ผ่านมา คริปโทเคอร์เรนซี  (Cryptocurrency) ก็ได้มีการพัฒนาการ แล้วถึง 4 เฟส เมื่อเราศึกษาพัฒนาการของราคา เหรียญ Cryptocurrency เช่น บิตคอยน์ เราอาจแบ่งการพัฒนาออกได้ 4 เฟส ดังนี้

            เฟสแรก คือการที่นักลงทุนรายบุคคล (Individual Investor) เข้าไปเก็งกำไรในช่วงปี 2016-2017 ในช่วงเวลาที่บิตคอยน์พุ่งไปที่ $20,000/เหรียญ ก่อนที่จะตกลงมาสู่ระดับ $5,000/เหรียญ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

           เฟสที่สอง คือการที่นักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor) เข้ามาซื้อบิตคอยน์ในช่วง ไตรมาส 4 เมื่อ ปี 2020 หลังจากที่นาย โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลล่า ของอเมริกาอ่อนค่าลงทันที และนักลงทุน จากสถาบันการเงิน บริษัท เช่น Payment Tech, New Tech จึงเริ่มเข้าซื้อบิตคอยน์ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ $40,000/เหรียญ ไต่มูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

            เฟสที่สาม จะเป็นการใช้ Cryptocurrency  (คริปโทเคอร์เรนซี)  ในระดับบริษัทเอกชน (Corporate Accounts) มีรายงานจากสำนักข่าว Reuters ว่าบริษัทในญี่ปุ่นกว่า 30 แห่ง ได้มีความร่วมมือกันในการพัฒนา ระบบ Private Digital Yen เพื่อใช้เป็น pool เชิงการค้าระหว่างกัน และบริษัทเหล่านั้น เริ่มทดลองใช้งาน กันแล้ว เมื่อปี 2021

            และ เฟสที่สี่ มีธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มตื่นตัว ได้ออกสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Currencies (CBDCs)) นี้คือสัญญาณที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า ระบบการเงินโลกใหม่ ในรูปสกุลเงินดิจิทัล กำลังเกิดขึ้นแล้ว

            ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ยุคเริ่มแรกนี้จะเริ่มจากสถาบันการเงิน และกลุ่มทุน หรือบุคคลที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ ก่อน และในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล  นั้นก็มีหลายรูปแบบ ได้แก่

            1. การซื้อสะสมเท่า ๆ กันทุกเดือน (DCA)  2. การรอจังหวะเข้าซื้อในระดับราคาที่พึงพอใจ 3. การซื้อ-ขาย เก็งกำไรส่วนต่างราคาในระยะสั้น ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นก็คล้ายกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่มีอยู่เดิม เช่นเดิม

            ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์นั้น เกิดขึ้นจากคุณสมบัติข้อหนึ่งของบิตคอยน์ คือ การมีอยู่อย่างจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งการมีจำนวนอยู่อย่างจำกัดนี้เอง ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นว่าบิตคอยน์นั้น สามารถมีคุณสมบัติการเก็บมูลค่า (store of value) เหมือนสินทรัพย์อย่างทองคำ และจะไม่เกิดการเฟ้อ 

            เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเหรียญ ดังนั้นเมื่อเกิดความต้องการซื้อ ต้องการถือครองบิตคอยน์มากขึ้น ก็ส่งผลให้ราคาของเหรียญบิตคอยน์ นั้น มีมูลค่าสูงขึ้น หรือหากเกิดผลในทางตรงข้ามก็จะส่งผลให้ราคาลดลงเช่นกัน และระบบนี้ก็กำลังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในโลกอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่า ระบบ Cryptocurrency  (คริปโทเคอร์เรนซี)จะมีอิทธิพลต่อโลกของการเงินยุคใหม่มากขึ้นอย่างแน่นอน

------------------------------

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น