วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 

กำเนิดพระคาถาชินบัญชร # ท้าวมหาพรหม ชินะปัญชะระ

            ชะยา สะนา กะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวา หะนัง  จะตุ สัจจา สะภัง  ระสัง เย

ปิวิงสุ นะราสะภา  พระคาถาบทนี้ ชาวพุทธ ต่างก็เข้าใจกันดี ว่า เป็นพระคาถา บทเริ่มต้น ของพระคาถาชินบัญชร  อันทรงคุณวิเศษ ถือว่าเข้มขลัง อันดับต้น ๆ  ของสมเด็จโต พรหมรังสี แห่งต้นยุครัตนโกสินทร์

กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ศรัทธา และผู้สนใจเรื่องราว ของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และคณะพระเหนือโลก  แห่งโลกเทพอุดร  ดังนั้น เรื่องราวที่จะนำเสนอ ทั้งรายชื่อของเกจิต่างๆ  ที่กล่าวถึงนั้นนั้น ท่านล้วนอยู่ในกลุ่มของพระเกจิ ที่เราเรียกกันโดยรวมว่า คณะพระเหนือโลก จึงขอนำเรื่องราวให้ ได้ฟังกัน  เนื้อความนั้น ก็ได้จากการเล่าต่อกันมาของเกจิ เพราะท่านก็ไม่ใช่นักเขียน จึงเรียบเรียงเนื้อหา อาจไม่ราบเลื่อนนัก อาจจะกระโดด กระเดียดไปมา ผู้นำเสนอ ก็ไม่กล้าที่จะต่อเติม เพราะเราไม่รู้จริง จะสร้างบาปโดย ไม่รู้ตัว

กล่าวกันว่า หลวงปู่สิงขรท่าน ได้ให้ความเคารพนับถือ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เป็นอย่างมาก หลวงปู่สิงขร ท่านเป็นอรหันต์ ผู้สำเร็จ อภิญญาสมาบัติขั้นสูง ว่ากันว่า..ท่านเป็นร่างที่นิรมานกาย มาจาก องค์ท้าวมหาพรหมชินะ ปัญชะระ ผู้เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น

            ท่านท้าวมหาพรหมชินะ ปัญชะระ  หรือท้าวกุมารพรหม ท่านเป็นผู้มีรูปกายที่งดงามยิ่ง สว่างด้วยรัศมีเหนือกว่าพลังพรหมองค์ ใด ๆ  ท่านมีพระสุรเสียงไพเราะ ดังกังวาน เวลาเสด็จไปในสถานที่แห่งใด เหล่าทวยเทพ และพรหมทั้งหลาย จะทราบทันทีว่า เป็นองค์ ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ เนื่องด้วยว่าทรงมีรัศมี ส่องแสงสว่างไสว มีฉัพรังสีเปล่งประกายไปไกล เกินกว่าเทพ พรหมองค์ใด ๆ จะกระทำได้

            ส่วน ประวัติท้าวมหาพรหม ชินะ ปัญชะระ นั้น ในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านเป็นสามเณรรูปงาม อายุ ๗ ขวบ เป็นลูกศิษย์ของท่าน พระโมคคัลลานะ เถระเจ้า ท่านบรรลุอรหันต์ สำเร็จอภิญญาสมาบัติ ตั้งแต่เป็นสามเณร ท่านเป็นสามเณรที่มีรูปกาย ร่างสง่างาม ผิวพรรณเปล่ง ประกาย สดใส ละเอียด ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง รูปกาย สังขารอันงดงาม ของท่าน ใช่ว่าจะดี มันสร้างความปั่นป่วนในจิต ของสตรียิ่งนัก ทั้งยังเป็นอุปสรรค ต่อการประพฤติพรหมจรรย์  ของท่าน

            ยิ่งท่านเจริญวัย ยิ่งงดงามมากขึ้น จนมีสตรีแอบหลงรักท่าน มากมาย มีสตรีหลายนาง อดใจไว้ ไม่ได้ จึงวิ่งเข้ามากอด ด้วยแรงของกิเลส ตัณหา หลายต่อ หลายครั้ง  จนทำให้สามเณรอรหันต์ น้อยเบื่อหน่ายในกาย สังขาร ของตน  ในที่สุด จึงตัดสินใจ ถอดกายทิพย์ออกจากร่าง ทิ้งสังขารไว้เมื่อยังไม่ถึงกาล เมื่อท่านอายุเพียง 23 ปี 6 เดือน โดยยังไม่ถึงกาลอายุขัย หมายความว่า ยังไม่ครบอายุขัย จะเข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น ด้วยเหตุนี้  ท่านจึงได้มาบังเกิดบนชั้นพรหมโลก มีนามว่าท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ

            เกจิ ท่านผู้มีตาทิพย์ นั้นเมตตา เล่าให้ฟังว่า ท่าน ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะ ท่านอยู่ในชั้นพรหมที่๑๓ เป็นหัวหน้ารูปพรหม 16 ท่าน  ทั้งยังเชื่อว่า ท่าน เป็นอาจารย์หลวงปู่โต พรหมรังสีอีกด้วย

             ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะ ท่านเป็นเจ้าพิธีกรรม ในโลกทิพย์ ในชั้นพรหม  ส่วน ในพรหมโลก นั้นจะมีพระพรหม ที่เป็นใหญ่ อยู่ ๔ องค์ คือ


1. ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ  2.ท้าวอัปรา พรหม  3.ท้าวจตุร พรหม และ ท้าวมหาพรหม สามภพ

            ส่วน พระพรหมชินนะ เป็นพรหมที่ไม่ขึ้นตรงต่อพรหมโลก เรียกว่า “พรหมเอกเทศ”  ท่านมีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า  พาหนะประจำตำแหน่งของท่าน  เท้าขวาเหยียบเต่า ท้ายซ้ายเหยียบพญานาค

             ซึ่งพาหนะ ของท่าน องค์พระพรหมชินนะ ที่เป็นเต่า กับพญานาค ในตอนนี้ นั้น  คือวิญญาณทิพย์ ที่กำลัง สร้างบารมี  และจะรอมาเกิดเป็นสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ในอนาคตข้างหน้า  ส่วนพระองค์พระพรหมชินนะ พระวรกาย ของท่าน มีแสงสว่างมาก ดุจดั่งพระอาทิตย์ ตอนเที่ยงวัน จิตใจงามเหมือนพระจันทร์  คิ้วโก่งโค้งเหมือนคันศร นัยน์ตางาม และคมเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดอ่อน เหมือนหยกขาว ผมเกล้าจุกขมวดไว้บนพระเศียร เศียรมีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทอง ปักหมั่นคงงดงาม

            พระพรหมชินะ นั้น ท่านจะไม่แปลงกายตน แห่งกายทิพย์ของตนให้ เป็นแปดหน้าสี่กร เหมือนพรหมาทั่วไป เพราะ มีรังสีแห่งวรกายของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ เพียงแต่เปล่งรัศมีแผ่ไป กายนั้นเปล่งรัศมีรอบวรกายเป็นพระอาทิตย์ สีขาวสุกใส

             ในสภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าพระพรหมองค์นี้ ไปแห่งไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่มีรัศมี ๕๐๐ เส้น เทพพรหม  ทั้งหลายท่านจะรู้ว่าท้าวมหาพรหมชินนะมา

            การแต่งตัวของท้าวมหาพรหมชินนะ แต่งแบบครึ่งกึ่งพระ กึ่งพรหม คือ ทั้งชุดที่นุ่งนั้น เป็นสีขาวบริสุทธิ์ พระวรกายก็เป็นสี ขาวแบบนวล อัตรากำลัง เปล่งรัศมี ส่องไปไกลถึง ๕๐๐ เส้น

            ส่วน มือขวาถือ คทา  คทา เรียกว่า “คฑาพรหม” ซึ่งเป็นจามจุรีทิพย์ หัวคทามีแสงพุ่งออกมาเป็นประกาย รัศมีเป็นรุ้ง ๓ สี วิมาน ท่านอยู่พรหมโลกชั้นที่ ๑๓ วิมานนั้นเนรมิตสร้างขึ้นด้วยแก้วมรกต พื้นวิมานปูด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยรอบ หลังคามุงด้วยเพชร ท่านบรรทมด้วยสิงห์ ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีบริวาร

จุดกำเนิดพระคาถาชินบัญชร

             เรื่องราวนี้  ได้เรียบเรียง  ขึ้น โดยคุณปัญญา นี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ พระคาถาชินบัญชร อีกที เพื่อขยายความ เพิ่มศรัทธา ในจิตพุทธศาสนิกชน เพื่อสร้างแรงบุญ เผยแพร่คุณธรรมความดี ต่ออายุพระศาสนา ตามเส้นทาง แห่งองค์พุทธะ ที่กำหนดไว้แล้ว ว่า

            เมื่อครั้งนั้น สมเด็จ (โต) ได้มีโอกาสเดินทางไปยัง จังหวัดกำแพงเพชร ท่านได้เดินทางไปที่วัดเก่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกรุโบราณ  . วัด ในสถานที่แห่งนั้น ท่านได้พบคัมภีร์โบราณผูกหนึ่ง หมายความว่า เป็นคัมภีร์ ที่ผูกไว้ติดกัน คัมภีร์นี้ ได้ฝังไว้อยู่ใต้ฐานเจดีย์หัก สมเด็จโต จึงนำคัมภีร์ผูกนั้นมาเก็บไว้ที่กุฏิ ต่อมาอีกหลายปี  สมเด็จโต พรหมรังสี ท่านมีจิตดำริที่จะสร้างพระเครื่อง ขึ้นมา หวังเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ แห่งความเลื่อมใส  ทั้งผูกมัดจิตใจ ให้ชาวพุทธ เพิ่มศรัทธา ต่อพุทธศาสนา  

            ทั้งยังมีเป้าหมาย เพื่อมอบให้แก่พระเจ้าปิยะ หมายถึงรัชกาลที่  5 หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นสมบัติ ในสมัยครองราชย์ ของพระองค์

            ระหว่างท่าน คิดจิตกังวล อยู่นั้น ด้วยความอ่อนล้า สมเด็จ (โต) ท่านก็ได้จำวัด แล้วหลับไป ในยามวิกาล คืนนั้น  ประมาณตี 3 สมเด็จ (โต) ได้นิมิตว่า ท่านได้ตื่นขึ้นมา เห็นชายหนุ่มรูปงาม รูปหนึ่งมายืนอยู่ที่หัวนอนในชุด นุ่งขาว ห่มขาว มีรูปลักษณ์งดงาม หาที่เปรียบไม่ได้เลย สมเด็จ(โต) ท่านก็มองขึ้นตามกำหนดของจิต ทราบว่าหนุ่มรูปงามนี้ คงจะไม่ใช่มนุษย์ อย่างแน่นอน

            สมเด็จ (โต) จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ การที่อาตมาได้มีโอกาสชมท่าน นับว่าเป็นขวัญตาเหลือเกิน ท่านมาในสถานที่แห่งนี้ มีสิ่งใดที่อาตมาปฏิบัติผิดพลาด ในหลักพระพุทธศาสนาเล่า  ขอให้ท่านจงประสาท ประทานการสอนให้อาตมาด้วย  จะได้แจ่มแจ้งในพระธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเถิด"

            ชายหนุ่มผู้นั้น จึงกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่เย็น ดังกังวาน ท่านโต วิธีการที่ท่านดำเนินงานอยู่นี้คล้ายกับองค์สมณะโคดมอยู่ แต่การที่ท่านคิดจะสร้างพระ ให้เป็นสิ่งที่ระลึกของหมู่มนุษย์นั้น ถ้าสร้างแล้ว สิ่งนั้นจะต้องดี ท่านโตเชื่อ ในเรื่องวิญญาณ เพราะฉะนั้น ควรจะปฏิบัติตามกฎ ของโลกวิญญาณ คือวิธีการพิธีกรรม ต้องเตรียม ต้องตั้งให้ถูกต้อง ตามหลักการในการปลุกเสก

            สมเด็จ(โต) ท่านจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขรัวโตนี้รับฟังความคิดเห็น ของทุกคน หากแม้นท่านโปรดข้านี้ ขอได้โปรดบอกมาเถิด จะด่าว่าตักเตือนเราก็ไม่ว่า"  หนุ่มรูปงาม ผู้มีความสงบ สำรวม  มองดูเป็นที่น่าเลื่อมใส ยิ่งนัก

            การต่อมา ท่าน จึงได้แนะวิธีการ ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดการพิธีกรรม ในการปลุกเสกพระสมเด็จ นั้น  เช่นท่านแนะนำ ในเรื่องทิศทางว่าทิศใด เป็นทิศมงคล  การวางเครื่องสักการะ  เทียน ธูป ดอกไม้ เทียนชัย ให้ตรงตามหลักของกฎระเบียบ แห่งโลกวิญญาณ เรียกว่าเทวบัญญัติ หรือพรหมบัญญัติ นั้นเอง

            ระหว่างนั้นสมเด็จ (โต) ยังคุมสติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ จึงได้ถามหนุ่มรูปงามนั้นว่า "ท่านผู้รูปงามท่านนี้ มีนามว่ากระไรหรอ 

            ท่านตอบว่า  หม่อมฉันนี้คือลูกศิษย์องค์พระโมคคัลลานะ หม่อมฉันสำเร็จเป็นอรหันต์เมื่ออายุ 7 ขวบ แต่ด้วยทิ้งสังขารก่อนอายุขัย จึงมิได้เข้าสู่แดนอรหันต์ คงยังอยู่ในแดนพรหมโลก เพราะหม่อมฉันไม่พอใจสตรี ไม่ชอบสตรี ที่มารุกรานในครั้งนั้น

            เพราะสตรี เหล่านั้น ชอบมาทำลายพรหมจรรย์ ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงตัดสินใจ ทิ้ง กาย สังขารก่อนครบอายุขัย ทางโลกวิญญาณถือว่าสิ้นชีวิตก่อนอายุขัย ที่ไม่เป็นไปตามกฎแห่งโลกทิพย์ หม่อมฉันจึงได้ไปจุติ ในแดนพรหม ทรงอยู่ในรูปพรหม

            ถ้าท่านโต ต้องการปรึกษาจากหม่อมฉัน ก็จงระลึกถึง "ชินนะ บัญชะระ" มานพหนุ่มรูปงามกล่าวต่อหน้าสมเด็จ (โต) อย่างสำรวม

ต่อมาไม่ว่าสมเด็จ (โต) จะทำงานสิ่งใด จึงมักระลึกถึง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญจะระ ทุกครั้ง ท่านก็ปรากฏร่าง นั้นทันที  ท่านมาช่วยเหลือสมเด็จ (โต) ประกอบพิธีต่างๆ จึงทำให้เครื่องรางของขลังของสมเด็จ (โต) มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ดังที่เราและท่านได้ประจักษ์ กันทุกวันนี้

            สมเด็จ (โต) ท่านปลุกเสก พระสมเด็จ รุ่นสุดท้ายมากถึง 84,000 องค์ ส่วนข้อมูลจำนวนพระเครื่อง สมเด็จ  อาจจะมีความเข้าใจไม่ตรงกัน  แต่ความจริงก็คงไม่มีใครรู้จริง ท่านว่ามา เราก็ว่าไปคงไม่เสียหายอะไร ก็โปรดใช้วิจารณญาณ  ตามจิตที่ดีงามเถิด อย่าเตลิดระรานกัน แค่นี้ก็ลำบากมากโข โงหัวกันแย่ทุกตัวตนอยู่แล้ว

            พระเครื่อง รุ่นสุดท้าย ที่กล่าวกันว่ามากถึง 84,000 องค์ นั้น เรียกว่าสมเด็จอิทธิเจ ครั้งนั้นท่านได้ ใช้พระคาถา  มาปลุกเสก  โดยท่านได้แปลคาถาจากคัมภีร์ ซึ่งท่านพบ  ที่ได้จากกรุวัดที่กำแพงเพชร

            ซึ่งคัมภีร์นั้น เขียนด้วยภาษาสิงหล ซึ่งก็แปลได้ไม่สะดวกนัก จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่จำได้ว่า เป็นรายชื่อ ของพระอรหันต์แปดสิบองค์

            ดังนั้น  สมเด็จโต ท่านจึงได้ เพิ่มเติม แก้ไข  เพื่อง่ายต่อการจำ ทั้งยังสวดง่าย จึงได้แปล เรียบใหม่ได้ความว่า "เป็น พระคาถาชินบัญชร" ซึ่งตรง นี้นั้นจึงตรงกับชื่อท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ

            ซึ่ง สมเด็จ (โต) ท่านจึงถือ ว่า พระคาถาบทนี้เป็นการเทิดทูน ท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ ที่ท่านได้เมตตา ช่วยเหลือ กิจการอันเป็นมงคล ตลอดมา นอกจากเป็นพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ ท่องปลุกเสกเพื่อ เข้มขลัง พลังแรง เพิ่มศิริมงคลแล้ว พระคาถาบทนี้ ยังเป็น ต้นแบบ เป็นบทสวดในการนั่งปลุกเสกพระอิทธิเจ  พระเครื่องสมเด็จทุกรุ่น  และ พระเครื่องสมเด็จ รุ่นสุดท้าย ซึ่งสมเด็จ (โต) ท่านนั่งปลุกเสกอยู่พรรษา เพียงองค์เดียวอีกด้วย

             นับว่าพระเครื่องสมเด็จ เป็นสุดยอด ของพระเครื่องที่นักสะสมใฝ่ฝัน สุดยอดของความปรารถนา อยากได้มา ครอบครอง ของใครหลายล้านคน พระเครื่องสมเด็จโต ทุกรุ่น ต่างก็มีผู้ใฝ่ฝันอยากได้มาไว้ครอบครองกันมากที่สุด ในชาตินี้ก็คงไม่ผิด หรือว่าท่านผู้ฟังไม่อยากได้

งั้นถ้าพบก็โทรมาบอกกันด้วย  ความขลัง ความดัง ทั้งราคาที่หามาบูชา ต่างก็แพงแสนแพง ล้านแพง ราคาสูง สุดจะประมาณ คำนี้คงไม่ได้เวิร์ กันจริง

แม้ในยุคที่สมเด็จโต ยังมีชีวิตอยู่ ตราบจนมาถึงปัจจุบัน ความนิยม  ความต้องการ พระเครื่องรุ่นยังแรงข้ามปี เรียกแรงข้ามทศวรรษ กันเลยที่เดียว ที่ไม่ใช่สองที่ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แต่ยังเชื่อกันว่า การที่ใครจะได้ครอบครองพระเครื่องสมเด็จนี้ นอกจากจะมีเงินถึงอย่างมหาศาล แล้ว ยัง ยังไม่พอ ยังต้องมีบุญบารมีที่สร้างสมมาดีแล้ว เพื่อให้คู่ควรกับ กระแสบารมีของสมเด็จโต และความเมตตาของ ท้าวมหาพรหมชินนะบัญชะระ ที่ท่าน จะเมตตา พุทธศาสนิกชน ในยุคนี้อีกด้วย

----------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น