วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

พุทธโอสถ ทางรอดยุคสุดท้าย



-------------------------------------

                เวทย์มนต์สีขาว’ หรือบางท่านเรียกอีกอย่าง ว่า ‘มนต์ขาว’  ก็มีความหมายถึง ‘เวทย์มนต์สายดี หรือฝ่ายดี มีแต่ให้คุณ  ให้โทษก็แค่มนต์เสื่อมคือใช้การไม่ได้ผล เท่านั้น

                มนต์ฝ่ายดี ก็อยู่ตรงข้ามกับ ‘มนต์ดำ’ ซึ่งเป็นพลังแห่ง ความชั่วร้าย เหมือนที่หมอมดหมอผี นิยมใช้กัน เมื่อใช้ไปนานนาน อาจประพฤติตัว ผิดจากข้อห้าม ที่ครูได้กำหนดไว้ มนต์นั้น ก็จะย้อนเข้ามาทำร้ายตน นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวและพึ่งระวังสำหรับผู้ที่เรียนวิชา มนต์ดำ นี้  ยกตัวอย่างบางคนเลี้ยงควายธนู แต่พลาดควาย นั้นกลับมาทำร้ายตน  หรือบางคนกลายเป็นเสือสมิง เป็นผีกระสือ เป็นผีกระหัง  และอื่น ๆ  อีกมากมาย

                มนต์ทั้งสองอย่างนี้ แม้จะเรียกต่างกัน และมีความหมายต่างกันก็ตาม  แต่ในพระคัมภีร์ ก็ไม่ได้แบ่งแยกถึงความแตกต่างระหว่างเวทย์มนต์ทั้ง 2 แบบแต่อย่างใด  หมายความว่า ถ้านำไปใช้ที่ถูกตรงทาง ไม่ผิดศีลธรรม ก็ถือว่าดีกันทั้งนั้น  ในพระคัมภีร์ หลายลัทธิ หลายเชื้อชาติ ต่างก็กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้   ทั้งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เวทย์มนต์ก็คือเวทย์มนต์ และแน่นอนว่า  ในทางศีลธรรมที่ดีงามแล้ว  จะไม่นิยมไม่ส่งเสริมให้มีการศึกษา ในเรื่องนี้ แต่ส่วนมากจะแอบเรียนกันเฉพาะบุคคลที่ชื่นชอบ และสนใจส่วนตัว เท่านั้น ไม่มีหน่วยงานใด ได้ให้การสนับสนุนให้ใช้เวทย์มนต์   ให้ศึกษาในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นในทางใดก็ตาม โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่ง ที่ต้องห้ามทั้งหมด

                หมายความว่า เป็นสิ่งนอกรีต เนื่องจากเป็นวิชาที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าพระเจ้า หรือมากกว่าพระธรรม ในทางพุทธก็ไม่ส่งเสริมให้สนใจในเรื่องนี้ จึงถือว่าวิชาเหล่านี้ เป็นเดรัจฉานวิชา ไม่ดี ไม่เจริญ ทั้งปัจจุบันและอนาคต หมายความว่า มีนรกเป็นแดนเกิด

                ส่วนในทาง แถบยุโรป ก็มีเวทมนต์ เช่นกัน ผู้ใช้เวทย์มนต์สีขาว เรียกกันว่า Wicca โดยบุคคลกลุ่มนี้จะเน้นบูชาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา มากกว่าพระผู้สร้าง โดยแนวทางการปฏิบัติหลักๆ ของ Wicca คือ ‘ถ้าคุณไม่ทำร้าย ทำอะไรที่คุณมีเจตนา’ หมายความว่า เรียนวิชาสายนี้ แล้ว ต้องไม่ทำร้ายใคร และต้องมีเจตนาที่ดี ต่อบุคคลรอบข้าง 

                ในชาติยุโรป บางชาติ ซึ่งผู้ฝึกหลายคนที่ใช้ เวทย์มนต์สีขาว นี้  จะเรียกตัวเองว่า Wicca โดย Wicca ค่อนข้างเป็นกลุ่มที่เปิดกว้างในเรื่องของความเชื่อ จึงทำให้มี ‘สังกัด’ มีค่าย ทั้งมีผู้ออกมาสนับสนุนมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่อทางศาสนศาสตร์ ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติฝึกฝน หรือธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งเชื่อมโยงผู้ติดตามเวทย์มนต์สีขาวกับ Wicca

                ไม่ว่าจะเป็น เวทย์มนต์สีขาว หรือ เวทย์มนต์สีดำ ต่างก็อยู่นอกเหนือแนวทางของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ที่เคร่งครัดในพระเจ้า  หรือพระธรรม แห่งองค์ พุทธะ ที่เน้นพ้นทุกข์ จึงไม่ค่อยยอมรับ ซึ่งความข้อนี้ก็ไม่ต่างกับชาวพุทธที่ปฏิบัติตาม คำสอนของพุทธะ ว่าเวทมนต์ ไสยศาสตร์ เป็นของไม่ดี เพราะจะมาปิดกั้นความรู้แจ้งเห็นจริง ก็คือนิพพานนั้นเอง

                ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ การนับถือความเชื่อเช่นนี้  ชาวคริสต์ ต่างกล่าวว่าเป็นการละเมิดกฎของพระเจ้า และจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ! โดยคำว่า ‘ศิลปะอันลี้ลับ’ ในความเชื่อทั้ง 2 นี้เป็นการสื่อถึง ‘พิธีกรรม ซึ่งนั่นก็คือ พิธีของพ่อมด – แม่มด รวมทั้งผู้ใช้เวทมนตร์หลายๆ สาย ซึ่งใช้เพื่อสร้างความสำเร็จ ในเส้นทางของพวกเขา เช่น คาถาอาคม, การร่ายมนต์, การเสกคาถา, เครื่องรางของขลังอื่นๆ โดยเมื่ออ้างอิงในพระคัมภีร์ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใช้เวทมนตร์คนใด สามารถอยู่ในทางสว่าง ในทางด้านบวก (+) จะได้รับการละเว้น การกระทำทั้งหมดนี้จะถูกประณามโดยพระเจ้า  แต่ก็ยังมีบางคน บางกลุ่มที่สนใจและศึกษาเรื่องนี้ก็ไม่น้อยในวัฒนธรรมของยุโรป

                ในพระคัมภีร์ ไว้แสดงหลักฐานเอาไว้ว่า พระเจ้าทรงต่อต้านเวทย์มนต์คาถาทั้งหมด เพราะว่ามันมาจาก ซาตานที่หลอกลวงผู้คน และการที่มันสามารถทำเช่นนี้ได้ เป็นเพราะพวกมันปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ หรืออ้างตนว่าเป็นพระเจ้านั่นเอง

                ส่วนทางด้านเอเชีย หรือในไทยนั้น พุทธคุณแห่งน้ำมนต์ คติความเชื่อที่สืบมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ก็ยังถือว่าเป็นมนต์ ฝ่ายขาว ที่อิงความดี  พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต ได้ให้ความหมายของน้ำมนต์ ในพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด ไว้ว่า "น้ำมนต์ คือ น้ำที่ผ่านพิธีน้ำมนต์ ปกติจะสำเร็จด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ในงานพิธีมงคลต่างๆ หรือการเสกของพระภิกษุ หรือฆารวาส

                  อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความขลัง และเพิ่มความศักดิ์ ผู้จัดทำส่วนใหญ่จะนำ น้ำมนต์จากพระอารามหลวง ๗๕ จังหวัด มาเทผสมรวมกัน  เชื่อว่าขลังจริงและแรงมาก

                 ในขณะที่คติความเชื่อของคนในวงการพระเครื่อง ก็มีเช่นกัน ซึ่งเชื่อมากันตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ "เซียนพระกริ่ง" ก็ยังเชื่อกันไม่เสื่อมคลายว่า พระกริ่งสายวัดสุทัศนฯ  จะสามารถช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบัน ยังหาสาเหตุไม่พบและรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันไม่ได้

                เชื่อกันมานานแล้วว่า ยามใดที่เกิดอาการเจ็บ ป่วยไข้ ในยุคก่อนยังไม่มียาแบบทั่วถึงนั้น จะอธิษฐานขออำนาจพุทธคุณในพระกริ่ง แล้วนำพระนั้นแช่น้ำ จากนั้นก็เอามาดื่ม บางรายก็นำน้ำ นั้น มาอาบเพื่อความเป็นสิริมงคล  ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว โรคภัย ไข้เจ็บป่วยอยู่นั้น ก็จะหายไป  อย่างน่าอัศจรรย์

                เรื่องนี้ ได้บันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งจากปากต่อปาก จากเหตุการณ์การกระจาย ของโรคไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙  ครั้งนั้น มีคนเสียชีวิตหลายสิบคน คล้ายกับการแพร่กระจายของอหิวาตกโรคในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมืองไทย ก็เคยเกิดโรคอหิวาระบาด มีคนตายจำนวนมาก

                ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัตน์ (แดง สีลวฑฺฒโน) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯ ในสมัยนั้น ก็ได้ติดเชื้ออหิวาตกโรค เช่นกัน ท่านจึงอาราธนาพระกริ่งลงในขันน้ำ พระพุทธมนต์ แล้วยกขึ้นดื่ม ปรากฏว่า หายจากเป็นอหิวาต์  ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่า ในเนื้อของพระกริ่ง โดยเฉพาะเนื้อนวโลหะ นั้นจัดเป็นยาน้ำแร่ ที่สามารถกำจัดโรคภัยไข้เจ็บได้  ซึ่งยามวิกฤตเช่นนี้  เราก็น่าจะนำไปพิจารณา

                 ล่าสุดวัดสุทัศนฯ ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก น้ำพระพุทธมนต์ "โรคาพินาศ" ในพระวิหารหลวง มีโดยมีการอัญเชิญขันน้ำมหาสาคร ซึ่งเป็นขันที่ใส่น้ำมนต์ ชนวนพระกริ่งหลายรุ่นของวัด เมื่อเสร็จพิธีจะมีการตักน้ำมนต์แจกแก่ประชาชน

 

 พระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือ เจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด บอกว่า "ทางโลก โดยกระทรวงสาธารณสุข ใช้วิธีรักษาแบบหมอยา ส่วนทางพระพุทธศาสนาก็ใช้วิธีแบบหมอน้ำมนต์ พิธีนี้ หากประชาชนไม่เชื่อก็ไม่ว่า แต่หากศรัทธา และต้องการเพิ่มกำลังใจ ในยามไร้ที่พึ่งก็สามารถมารับน้ำมนต์ได้"

                นอกจากความเป็นสิริมงคล สำหรับผู้ประพรม อาบ และดื่มแล้ว ยังมีคติความเชื่อด้วยว่า น้ำมนต์ นี้ยังนำความสวัสดีมีโชคมาให้ ตลอดถึงกำจัด ปัดเป่าสิ่งอัปมงคล  อันตราย ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้

                 อย่างเช่นกรณี น้ำมนต์เสือกินน้ำ ของ พระครูปลัดปริยัติวรวัฒน์ หรือ หลวงพ่อเลิศ เจ้าอาวาสวัดปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม  ทั้งนี้ ท่านจะใช้พรมให้กับ ผู้ที่มาร่วมพิธี ทั้งตัดผมลอยเคราะห์รับโชค โดยได้รับการถ่ายทอดจากพระธุดงค์ รูปหนึ่ง เมื่อ ประมาณ ๒๐ ปีที่ ผ่านมา

                 ขณะเดียวกัน ระหว่างประพรมน้ำมนต์นั้น หลวงพ่อเลิศจะบริกรรมคาถา  สำทับไปด้วย โดยจะใช้เวลาประมาณ ๑๐นาที  เรียกกันว่า "ได้รับน้ำมนต์เปียกชุ่มฉ่ำเย็นใจ สบายกายกันไปถ้วนหน้า"

                ทางด้าน หลวงพ่อเลิศ อธิบายให้ฟังว่า การท่องคาถาระหว่างพรมน้ำมนต์นั้น เป็นคาถาที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก หลวงพ่อหยอด อดีตเกจิชื่อดังแห่งวัดแก้วเจริญ  การทำน้ำมนต์ รวมทั้งระหว่างประพรหมน้ำมนต์ จะบริกรรมคาถา เช่น ๑.ชินบัญชร  ๒.พระเจ้า ๕ พระองค์  ๓.คาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์  ๔.คาถามงกุฎพระเจ้า รวมทั้งคาถาบทอื่นๆ รวมแล้วกว่า ๑๐ พระคาถา

                และที่ขาดไม่ได้คือ น้ำมนต์ที่นำมาประพรมให้ญาติโยมนั้น  เป็นน้ำมนต์ที่ทำไว้ในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ ซึ่งทุกครั้งแม้ว่าจะมีญาติโยม มาเพียงคนเดียว ก็จะท่องคาถาทุกบท เช่นเดียวกับที่มากันหลาย ๆ คน พระต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า คนมาวัดมาด้วยมีศรัทธาเป็นตัวนำ เมื่อมาถึงวัดแล้ว นอกจากพระต้องมีวัตรปฏิบัติที่งดงามแล้ว ในเรื่องของพิธีกรรมต้องทำให้ญาติโยมเกิดความสุขใจ  ทั้งยัง เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้มีแรงในการต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคต่าง ๆ นานาประการที่กำลังประสบในเวลานี้ได้

                ซึ่ง เรื่องการสวดมนต์ เพื่อรักษาโรคและต่ออายุ นั้น  หลวงพ่อเลิศ บอกว่า ในพระพุทธศาสนา มีกล่าวไว้หลายเรื่อง เช่น เมื่อครั้ง พุทธกาล พระมหากัสสปะเถระอาพาธ พระพุทธเจ้าก็เสด็จมา แล้วทรง นำสวดโพชฌงค์ ๗ พอทรงสวดจบ พระมหากัสสปะก็หายอาพาธ  และในทำนองเดียวกัน พระโมคคัลลานะ ก็เคยป่วย และหาย จากอาพาธได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ให้ฟัง เช่นกัน

                ซึ่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อพระองค์ทรงอาพาธ  ก็ทรงโปรดให้พระมหาจุนทะ สวดโพชฌงค์ ๗ ถวาย เมื่อสวดจบ พระพุทธองค์ทรงหายจากอาการประชวร  นี้ก็คือตัวอย่างเมื่อครั้งพุทธกาลที่เคยกระทำมา พอเป็นตัวอย่าง

                 นอกจากนั้น ในสมัยพุทธกาล ชาวบ้านก็ยังนิยมนิมนต์พระสงฆ์ มาสวดมนต์ให้ที่บ้านเมื่อเจ็บป่วย เช่น ธรรมมิกอุบาสก เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูต เป็นต้น

                บทสวดโพชฌงค์ เป็นหลักธรรมหมวดหนึ่ง ที่อยู่ในบทสวดมนโพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้ว สามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้  ที่เชื่อกันอย่างนี้ เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ  พบว่า พระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้

                ทั้งอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้ แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้นพบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้ในที่สุด  เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่า พระพุทธเจ้าก็หายประชวร

                 ส่วนคาถาพระปริตรธรรม ทั้งเมตตปริตร ขันธปริตร โมรปริตร ธารณปริตร โพชณงคปริตร คาถาชินบัญชร เป็นบทสวดเพื่อยกย่องความดีงามของผู้สมควรบูชา  ในขณะเดียวกัน ผู้สวดจะได้รับการคุ้มครอง ปกป้องให้รอดพ้นจากภยันตราย  หรือแม้กระทั่งรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย

                 “นับตั้งแต่ สมัยพุทธกาล  เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน  พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า บทสวดโพชฌงค์นั้น สวดแล้วจะช่วยให้หายโรค ด้วยเหตุนี้เอง  การสวดมนต์จึงไม่ใช่เรื่องไร้สาระ หรือเป็นไสยศาสตร์ กันอีกต่อไป เพราะผลเป็นที่ประจักมาแล้วว่าได้ประโยชน์ จริง  เชื่อว่าผลจากการสวดมนต์ ภาวนา นอกจากจะให้ผลทางจิตใจ ปรับสภาพจิตใจให้ดีแข็งแรง เข้มแข็งขึ้นแล้ว  ทั้งยังเป็นการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ได้แล้ว ยังให้ผลในด้านอื่นๆ อีกมากมาย

                 หากท่านยังไม่เชื่อ หรือสงสัยว่าจริงหรือไม่  ขอให้ลองทดสอบดูด้วยตนเองก็ได้  ด้วยการสวดมนต์ภาวนา ด้วยตนเอง เพราะสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น  สิบตาเห็น ไม่เท่ากับลงมือทำ ด้วยตนเอง

------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น