วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

แดนศิวิไลซ์ เมืองพุทธะแห่งจักรวาล (Cosmic Religion)



          ..ไอน์สไตน์..

------------------------------------------------

            โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มีอายุ ตั้งแต่เริ่มก่อตัว มาถึงปัจจุบัน นับได้ประมาณ 4,500 ล้านปี และเริ่ม ปรากฏว่า มี ชีวิต สิ่งมีชีวิต และมนุษย์เกิดขึ้นมา บนโลก  ต่อจากนั้น ก็มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ทั้งสิ่งมีชีวิต และมนุษย์ ต่อเนื่องกันมา อีกประมาณ 50,000 ปี (ห้าหมื่นปี)

            กาลเวลา ผ่านมายาวนานมาก จนไม่สามารถนับได้  จนมาถึงยุค มีพุทธะหลายพระองค์ที่มาจุติบนดวงดาวนี้ ที่เรียกว่าโลก  จนตัดเวลาให้สั้นเข้า องค์พุทธโคตรมะ มาจุติเป็นองค์ที่สี่ และพระพุทธเจ้าก็ทรงปรินิพพาน  เมื่อประมาณ 2,500 ปีเศษ

            ต่อมาความสงสัยในโลก ของมนุษย์ก็มีมากขึ้น การค้นหาความจริงเกี่ยวกับโลก จริงเกิดขึ้น ทางหนึ่ง การศึกษา ค้นหาโลก ในทางกายภาพ หรือทางฟิสิกส์ กระทำโดยนักวิทยาศาสตร์  ส่วนอีกทางหนึ่ง โดยสมาธิ หรือญาณ ของพระพุทธเจ้า  องค์พุทธะ ท่านรู้จักโลกด้วย “พุทธญาณ” พุทธญาณ ที่เกิดจากสมาธิหรือฌาน

            คำว่า “โลกกลม” และคำว่า “ขอบจักรวาล” ก็มีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก ซึ่งเชื่อว่า กล่าวโดยพระพุทธเจ้า เอง  ส่วนนักวิทยาศาสตร์รู้จักโลก โดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น การคำนาณจาก ตัวเลข ทางคณิตศาสตร์  และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น กล้องจุลทรรศน์  ส่วนพระพุทธเจ้ารู้จักโลกด้วยกำลังแห่งฌาน

            พระพุทธเจ้า กล่าวถึงโลกและจักรวาล ไว้ว่า แต่พระองค์ไม่ได้อธิบายในรายละเอียดของ โลกและจักรวาล มากนักว่า มีสภาพเป็นอย่างไร แต่จะเน้นเนื้อหา ความเป็นไปของโลก เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ คือโลก และสรรพสิ่งที่อยู่ บนโลก นี้ ล้วนแต่ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง ความไม่คงทนอยู่ในสภาพเดิม และความไม่มีตัวตน ไม่เป็นแก่นสาร  พระพุทธเจ้าเปิดเผยว่า โลกมีอายุอันจำกัด ก็มีมีวันสิ้นเช่นกัน ในที่สุดโลกก็จะ อันตธานหายไป กำหนดอายุเป็น “มหากัปป์” แต่ละมหากัปป์ นับ เป็นแสน ๆ ล้าน ปี  ซึ่งก็นับว่ายาวนานมาก ถ้าไม่รู้แจ้งโลกก็จะเชื่อว่าโลก เป็นอมตะ

            พระองค์ ทรงเปิดเผยว่า มีจักวาล ในอวกาศอันเวิ้งว้าง กว้าใหญ่นี้ นับไม่ถ้วน ด้วยจักรวาลน้อยใหญ่ ซึ่งก็มีอายุอันจำกัด แตกต่างกันไป แต่ละจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน บางจักรวาลมีดวงอาทิตย์ 1 ดวง บางจักรวาลมีดวงอาทิตย์มากกว่า 1 ดวง

            มนุษย์ นั้นในทาง วิทยาศาสตร์ จะพยายามเดินทางไปยังโลก ดวงดาว ต่างๆ เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต เช่น เดินทางไปดวงจันทร์ ไปดาวอังคาร แต่ก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ ทุกวันนี้  นักวิทยาศาสตร์ก็ยังขวนขวายพยามยามศึกษา ที่จะค้นพบชีวิตในโลก อื่นๆ อยู่เสมอ

            เฉพาะดาวพลูโต ที่มนุษย์กลุ่มหนึ่ง กำลังศึกษา นับว่าเป็นดาวที่อยู่ห่างไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด วิทยาศาสตร์ก็ผลิตยานอวกาศเดินทางไปให้ถึง แต่ก็ทำได้แต่เพียงไปถ่ายภาพ อยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ยังไม่พบวี่แววว่าจะมี “มนุษย์” หรือ “สิ่งมีชีวิต” ในต่างดาวแต่อย่างใด  และที่จังหวัดนครสวรรค์เกิดข่าวร่ำลือว่า จะมี “จานบิน” (UFO) (และมนุษย์ต่างดาว) เดินทางมาจากดาวพลูโต ข่าวนี้ผ่านมาทาง “ร่างทรง” เรื่องนี้ ชาวพุทธ  ควรใช้หลัก กาลามสูตร มาเตือนใจ  มาพิจารณา ในข่าวลือ อย่าตื่นข่าวใด ๆ จนขาดสติและเหตุผล

            จริงเท็จ ก็อยู่ในกรอบที่มีหลักฐานยืนยันได้ ในที่สุด ข่าวมนุษย์ต่างดาวก็จะห่างหายไปเอง แต่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า มีจักรวาลอีกมากมาย ที่ยังสิ่งมีชีวิตมีอยู่ ในจักรวาลเหล่านั้น แต่ความสามารถ และเทคโนโลยี ของมนุษย์ยุคนี้ ยังไปไม่ถึง คงต้องรอยุคศิวิไลซ์ น่าจะใกล้ความจริงมากมากที่สุด

            พระพุทธเจ้า ไม่ได้กล่าวถึง จุดสิ้นสุดของจักรวาล และไม่กล่าวว่า มี “ผู้สร้าง” โลกและชีวิต แต่กล่าวถึง การก่อเกิดชีวิตว่ามาจาก “ตัวแสง” (เรียกว่า “อาภัสสรพรหม”) และพระองค์ก็ไม่กล่าวว่า อาภัสสรพรหม  นั้นมาจากจักรวาลไหน  บอกแต่เพียงว่า เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มายังโลก มาพบโลก (ดาวดวงหนึ่ง) ในสภาพที่มีแต่น้ำ และมีสิ่งหนึ่งบนผิวน้ำที่มีรสหอม และอร่อย แล้วอาภัสสรพรหม ชาวโลกบางท่านเรียกว่า ง้วนดิน  ง้วนดิน  หมายถึงดิน บริสุทธิ์ ที่แช่อยู่ในน้ำนาน ๆ ลูกแดดเผา เป็นเวลานาน จนน้ำแห้ว แดดเผาไปถึงดินนั้น จนดินนั้น แห้งกรอบได้ที่ ลักษณะของดินนั้นจะงอ โค้งกรอบ ส่งกลิ่นหอม รสอร่อย

            อาจจะหมายความว่า เหล่า อาภัสสรพรหม ได้เหาะผ่านมา แล้วลงมายังดาวโลก ดวงนี้ มาพบง้วนดิน ที่ส่งกลิ่นหอม คงนึกอยากจะทดลองว่า มันคืออะไร แล้วกินสิ่งนั้น กลับมีรสอร่อย แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งนั้นได้ทำลายสภาพร่างกาย แห่งความเป็นพรหม ของตนหมายความว่า สภาพเบา ผ่องใส่ ของตนนั้นเริ่มหยาบขึ้น หนัก ทั้งยิ่งเมาหมองลง

            ร่างกายของอาภัสสรพรหม จากที่ร่างกายที่เป็นแสง โปร่ง เบานั้น กลายสภาพเป็นหยาบและหนัก จนไม่สามารถเหาะและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนเดิมได้  สภาพเปลี่ยนไป ร่างกายหนัก เลื่อนไหวไปมา ก็หนักเหมือนมนุษย์ ทั่วไปดังที่เราและท่าน ไปไหนไม่ได้ คล่องตัวเหมือนดั้งเคย

            เมื่อมาถึงตรงนี้ เท่ากับบอก ให้เราทราบว่า ต้นกำเนิดของมนุษย์ นั้น ชีวิตเริ่มก่อนตัวจากจุดนั้น คือชีวิตเกิดจาก “ตัวแสง” และ “น้ำ”  แสง ในความหมาย ที่ว่านั้น ก็คือ วิญญาณหรือ “จิต” นั่นเอง

            นั่นก็คือ วิญญาณ หรือจิต ก็มีสภาพเป็นแสง และแสงนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้ เช่น เป็นแสงที่เศร้า แสงที่สดชื่น ทั้งสามารถ ละเอียด และหยาบได้  สำหรับผู้ที่ฝึกจิต  ในสมาธิหรือในฌาน เมื่อกายกับจิตแยกกัน จิตมีสภาพเป็นแสง ส่วนกายที่หยาบก็เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพลงสู่ ดินและพื้นโลกไป ตามเหตุปัจจัย ที่เป็นไปของสิ่งหยาบบนโลก

            ต่อมาก็มีนักปราชญ์ หรือ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ชาวเยอรมัน  ชายผู้นี้ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2422 ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2498 เขา เคยกล่าวไว้ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งจักรวาล (Cosmic Religion) แสดงว่าชายผู้นี้คงต้อศึกษา พระไตรปิฎก และทดลองในการฝึกจิตแน่นอน จึงทำให้เขาเข้าใจหลักการ และความเป็นไปในศาสนาพุทธ

              เมื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งจักรวาล (Cosmic Religion) เราจึงถอดความได้ว่า “ศาสนาในอนาคต พุทธศาสนา จักเป็นศาสนาแห่งจักรวาล เป็นศาสนา อิงประสบการณ์จริง และตรง ของมนุษย์ชาติ ในอนาคต เพราะศาสนานี้ สามารถ พิสูจน์ได้ ว่าจริง

            ดังนั้น ในอนาคต ที่โลก จะเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ อย่างเต็มตัว ดังนั้น การปฏิเสธความเชื่อ  (faith) ที่ไม่มีการพิสูจน์ได้ หรือเชื่อตามฉันบอกนั้น  ยากที่คนยุคอนาคตจะศรัทธา เพราะว่าไม่สามารถพิสูจน์ ได้  เท่ากับเป็นการหลอกและโกหก คนฉลาดย่อมไม่สนใจ ถ้าจะมีศาสนาที่จะรับมือ หรือควบคู่กับวิทยาศาสตร์ได้ ศาสนานั้นคือ  พุทธศาสนา เท่านั้น

            ไอน์สไตน์ เป็นผู้พบ “ความเร็วของแสง” จากการสัมผัสด้วยจิต และการทดลอง ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ความเร็วของแสง คือ 300,000 กิโลเมตร ต่อ 1 วินาที การค้นพบความเร็ว ของแสง เป็นกุญแจสำคัญช่วยให้ไอน์สไตน์ คำนวณระยะทาง ระหว่างแต่ละจักรวาลได้  มีผู้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ไอน์สไตน์ศึกษาพุทธศาสนาจากหนังสือเรื่องอะไร  จึงเข้าใจคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าได้ในประวัติของเขาบอกแต่เพียงว่า เขายืมหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาจากเพื่อนมาอ่าน

            แต่ความรู้จากหนังสือที่ยืมมาอ่านนั้น ไม่น่าจะเพียงพอ ที่ทำให้ไอน์สไตน์เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ อย่างลึกซึ่ง คงน่าจะเป็นเพราะ นักวิทยาศาสตร์คนนี้ ได้ทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง แล้วพบความมหัศจรรย์ในสมาธินั้น สมาธิที่ไอน์สไตน์เข้าถึง น่าจะเป็น “อัปปนาสมาธิ” ซึ่งเป็นฌานระดับหนึ่ง

            แต่เนื่องจากชาวตะวันตกรู้แต่  วิธีทำสมาธิให้จิตนิ่ง และมุ่งใช้ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น ไอน์สไตน์จึงหยุดอยู่เพียงสมาธิขั้นต่ำ หารู้ไม่ว่า ความมหัศจรรย์ในสมาธิที่ละเอียด (ประณีต) กว่านั้น ยังมีอยู่ เขาจึงได้ประโยชน์จากสมาธิ เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์เท่านั้น

            การตั้งข้อ สังเกตเรื่องนี้ น่าคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ทำงานในห้องทดลอง อยู่กับความเงียบสงบนาน ๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า พวกเขามีการทำสมาธิในระหว่างทำงานนั่นเอง  ทุกวันนี้ วงการวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า จิตคือการทำงานของสมองเท่านั้น จึงศึกษาแต่พฤติกรรมของสมอง ยังไม่มีการศึกษาเรื่องวิญญาณหรือจิตแต่อย่างใด

            ส่วนพระพุทธเจ้า ทรงเป็น “โลกวิทู” คือรู้ความเป็นไปของโลก (ชีวิต) ทั้งด้านกายภาพ (รูป) ทั้งด้านวิญญาณหรือจิต (นาม) ทรงเห็นว่า โลกด้านวัตถุไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจาก “ทุกข์” จึงค้นคิดแต่ทางที่จะพ้นไปจากทุกข์เท่านั้น  ความมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เห็นในสมาธิ  เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าข้ามพ้นมาทุกอย่างแล้ว จึงพบว่า “จิต” หรือ วิญญาณ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

            ในพุทธศาสนา กล่าวถึงการระลึกชาติของพระองค์ได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ  และระลึกการตาย-การเกิด จุตูปปาตญาณ ของชีวิตทั้งหลายได้ เท่าที่ต้องการจะรู้ จึงมั่นใจว่า ได้ตรัสรู้ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด จนกระทั่งเมื่อพบว่า ไม่มีกิเลสทั้งอย่างหยาบและละเอียด (อนุสัย) ตกค้างอยู่ในจิตเลย จึงมั่นใจเต็มที่ว่าได้ตรัสรู้แล้ว ไม่มีอะไรต้องทำอีก

            น่าสังเกตว่า พระพุทธเจ้าไม่สนใจเรื่องการเกิด  การดับของโลกภายนอกแต่อย่างใด ปัญหาเรื่องใครสร้างโลก จึงไม่มีในคำสอนของพระองค์ มีแต่วิธีดับทุกข์เท่านั้น  จึงมีผู้กล่าวว่า น่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ถ้าเขาได้พบพระพุทธเจ้า การผลิตอาวุธทำลายชีวิต-ทำลายโลก อย่างระเบิดปรมาณูและระเบิดนิวเคลียร์ คงจะไม่เกิดขึ้น 

            ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ ไม่ใช่วิธีผลิตอาวุธร้ายก็จริง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดระเบิดมหาประลัยในสงครามโลกที่ผ่านมา แต่ในที่สุด สงครามโลก ก็จะถึงทางตันจนได้ ไอน์สไตน์กล่าวว่า สงครามโลกครั้งที่ 3  มนุษย์จะทำลายล้างกันอย่างไร เขาไม่ยากรับรู้ เขารู้แต่ว่า สงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะต่อสู้กันด้วยก้อนดิน และท่อนไม้! เท่านั้น  คำกล่าวตรงนี้แฝงไปด้วยอะไร ผู้มีปัญญาคงทราบดี

            นั้น แสดงว่า ความเจริญ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จะถึงจุดจบในวันใด วันหนึ่ง อย่างแน่นอน  หมายความว่า ชีวิตของสัตว์ และโลก จะกลับไปเริ่มต้นใหม่  เราจงพึงเข้าใจว่า ควรเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ เพราะ การเวียนว่ายตายเกิด ล้วนหาที่สิ้นสุดมิได้  ดังนั้น ในองค์ความรู้ที่องค์ สมเด็จ พระพุทธเจ้า ทรงเห็นภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่ง จึงไม่สอน ไม่บอกความรู้ แบบวิทยาศาสตร์ และไม่สอนให้คิด แบบอย่างของนักวิทยาศาสตร์  ที่เน้นแต่ในเรื่องของโลก แห่งวัตถุนิยม

            องค์พุทธะ เคยกล่าวไว้ว่า มีเรื่องที่เราไม่นำมาพูดถึง อีกมากมาย เพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ อะไร ที่ทำให้เราพ้นทุกข์  เปรียบเทียบว่า เรื่องที่ไม่พูดถึง นั้นมีอีกมากมายเหมือนใบไม้ในป่า แต่ส่วนเรื่องที่นำมาเปิดเผย  มากล่าวถึงนั้นมีเพียงน้อยนิด เปรียบได้กับ ใบไม้ ที่อยู่กำมือเท่านั้นเอง 

            เรายังนึกไม่ออกว่า จานบินที่จะมาจากดาวพลูโต มายังโลกที่ภูเขาและกะลา นครสวรรค์  หรือมายังสถานที่ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ ได้ทิ้งร่องรอย ไว้ให้ชาวโลกสงสัยมากมาย  ทำไมชาวโลกทั้งสงสัยละ ตอบง่าย ๆ ว่าก็ องค์ความรู้ เทคโนโลยี และวัสดุ ที่มนุษย์ ได้พบเห็นนั้น ล้วนเป็นองค์ความรู้ และวิวัฒนาการบนโลกใบนี้ ยังไปไม่ถึงนั้นเอง

            ถ้าสรุปในเนื้อความ ข้างต้น นั้น คงหมายความว่า มนุษย์ นั้น มีเชื้อสายต้นกำเนิด มาจากพรหม ซึ่งก็มีนัยตรงกับ ชาติยุโรปที่ว่าเกิดจากเทพเจ้า หรือพระผู้สร้าง นับตรงกับคติของชาวพุทธและหลายศาสนา อย่างน่าพิศวง ในต้นกำเนิดของมนุษย์

            ความรู้เหล่านี้ เรื่องของวัตถุ แบบวิทยาศาสตร์ องค์พุทธะ กล่าวว่าไม่มีประโยชน์อะไร แม้มีก็น้อย พระองค์จึงไม่เน้น แต่ให้กลับไปสู่ จิตเดิมของมนุษย์ คือจิต คือตัวแสง ความสว่าง โปร่งเบา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของเดิม ที่มนุษย์ ลืมไปนานมากแล้ว องค์พุทธะจึงเน้น เรื่องกายสังขาร กับจิต เท่านั้น เพราะจิตนั้น มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่เป็นจุดเริ่มต้น ของสิ่งประดิษฐ์บนโลก ทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำยุค ล้วนเกิดจากจิตก่อนเสมอ

            จิตที่เป็นสมาธิ จนบรรลุขั้นธรรมต่าง ๆ ตามคำสอน ตามแนวทางแห่งองค์พุทธะ ล้วนสามารถเป็นตัวนำหน้าในการทดลองในหลักการวิทยาศาสตร์ ของโลกยุคหน้า ดังนั้นในโลกอนาคต ที่เรียกว่า ยุคศิวิไลซ์ หรือ ยุคศรีอริยะ พุทธะแห่งจักรวาล นั้น เชื่อว่าคงเป็นจริง เป็นไปได้สูง ตามความหมายที่ได้กล่าวไปแล้ว

            แต่จิตวิญญาณ ของมนุษย์แบบไหนละ ที่จะมีโอกาส ก้าวเข้าไปสู่ยุคนั้น อย่างสมภาคภูมิ เพราะใช่ว่าใครจะมีกันได้ง่าย ๆ  แต่ก็ไม่ยาก  ไม่ได้เกินความสามารถของชาวพุทธที่ เชื่อในหลักการขององค์พุทธะโคตรมะ ที่ท่านได้วางไว้ดีแล้ว  คือการปฏิบัติตน ให้อยู่ในกรอบของศีล 5 ครบ หมั่นสวดมนต์ ภาวนา จนได้จิตสงบ ที่เรียกว่า แค่ขั้นต้น ที่เรียกว่า

            ขณิกสมาธิ : สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียน ทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้  สำหรับมนุษย์ทั่วไป ถ้ามีแค่นี้ก็คงเพียงพอ สำหรับ คุณสมบัติ  ที่จะเข้าสู่ยุค ศิวิไลซ์ ยุคล้ำยุค แห่งธรรมะ แห่งเทคโนโลยี กันแล้ว 

             แต่ถ้าอยาก เป็นมนุษย์ ชั้นหัวหน้า ในยุคนั้น น่าจะมี  อุปจารสมาธิ : สมาธิจวนจะแน่วแน่ ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะแห่งฌาน จัดเป็นขั้นสูงสุดของ กามาวจรสมาธิ มีที่กำหนดชัดเจนคือ ในอุปจารสมาธิ นิวรณ์ก็ถูกละได้ ในระดับหนึ่งแล้ว และองค์ฌานก็เริ่มเกิดคล้ายกับอัปปนาสมาธิ แต่มีข้อแตกต่างกัน เพียงว่า องค์ฌานยังไม่มีกำลังดีพอ แต่ได้นิมิตพักหนึ่ง ก็ตกภวังค์พักหนึ่ง ขึ้นตก ๆ เหมือนเด็กตั้งไข่ เขาพยุงลุก ก็คอยล้มลงอีก จนกว่าจะแข็งแรง  ส่วนในอัปปนาสมาธิ องค์ฌานทั้งหลายมีกำลังดีแล้ว จิตตัดภวังค์ แล้วคราวเดียว ก็ตั้งอยู่ได้ทั้งคืน ทั้งวัน เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ยืนขึ้นแล้ว ก็ยืนได้ตลอดวัน

      ส่วนใครที่จะต้องการเป็น มนุษย์ ชนผู้นำ แห่งดินแดน มากกว่าในกลุ่มชน ยุคศิวิไลซ์ นั้น  ก็จะต้อง บำเพ็ญ ตน ให้สุดยอดขึ้นไปอีก ในเรื่อง ของสมาธิจิต ระดับ 

            อัปปนาสมาธิ  :  หมายถึง สมาธิอัน แน่วแน่ หรือ สมาธิที่แนบสนิท นิวรณ์ 5 สงบระงับไปด้วยกำลังของสมาธิ เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งมีในฌานทั้งหลาย (ฌานทุกลำดับจัดเป็น อัปปนาสมาธิ) ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ต้องการของการเจริญสมาธิ เกิดขึ้นได้ด้วยการรักษาอุปจารสมาธิที่เกิดขึ้นแล้วนั้นสม่ำเสมอไม่ให้เสื่อมหายไปเสีย จนในที่สุด ก็เกิดเป็นอัปปนาสมาธิ บรรลุปฐมฌาน เป็นขั้นเริ่มแรกของรูปาวจรสมาธิ

            นี้คือคุณสมบัติ อันสุดยอดของมนุษย์ ในยุคหน้า ที่ต้องมีหวังเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ยุคธรรมะ และเทคโนโลยีสุดยอดล้ำยุค ระดับต่างดาว ระดับจักราวาล เมื่อดับกายสังขาร กายหยาบจากยุคสุดยอดนี้ แล้ว ท่านกล่าวว่า อนาคตมนุษย์ยุคนั้น จิตวิญญาณ จะบรรลุธรรมขั้นสูง เข้าสู่แดนนิพพานกัน ทุกดวงจิต เคลื่อนเข้าสู่แดนอมตะชั่วนิรัน กันทุกคน  เพราะคุณสมบัติ ขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ในยุคหน้าจะต้องมีสมาธิ อย่างใด อย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ  อัปปนาสมาธิ  และอุปจารสมาธิ  ทั้งหมดนี้ คือสิ่งวิเศษสุด เป็นนาวา พาเราเข้าสู่แดน บรมสุขได้ อย่างแท้จริง

           

----------------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น