วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

อวสานโลก เตรียมรับมือ



            มนุษย์ย่อมมีความหวังเสมอ คนดีถูกมนุษย์ ด้วยกันรังแก  แต่ฟ้าไม่เคยรังแก คนดี คนดีได้รับการยกย่องจากคนทั่วไป  ฟ้าก็พลอยปลาบปลื้ม ยินดีไปด้วย  คนที่โหดเหี้ยม เป็นที่เกรงกลัวของคนอื่น  แต่ฟ้าไม่เคยเกรงกลัวคนโหดเหี้ยมเหล่านั้น ทั้งไม่เคย เกรงกลัวมนุษย์ที่คิดแต่เรื่องร้าย กับมนุษย์ ด้วยกัน ทั้งฟ้าจะไม่ยินยอม ฟ้าจะลงโทษ อย่างไม่ปราณี และตอนนี้ ฟ้าก็กำลัง ลงโทษเช่นนั้น ท่านทั้งหลาย มองเห็นกันบ้าง หรือไม่

            หนึ่งในคำที่กล่าวถึง ในชาวโลก ทั้งหวั่นไหว ทั้งสงสัย สับสน ใช่  มันหมายถึง วันสิ้นโลกในภาษาอังกฤษใช้คำว่า อะเพสเคอรเลส ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลกมักเกี่ยวข้องกับการทำลายล้าง เช่น แผ่นดินท้องฟ้าอันตรธานหายไป คนบาปถูกโยนลงในบึงเพลิง คำว่า วันสิ้นโลก

            เหมือนเริ่ม ถูกนำมาใช้หมายถึง การทำลายล้าง ขั้นรุนแรง ภัยพิบัติ ความวิปโยค ที่มันกำลังเกิดขึ้น กับมนุษย์ชาติ ในทุกวันนี้  เราก็ขอภาวนา ว่าคงไม่ได้หมายถึงวันสิ้นโลก ตามความเชื่อทางศาสนาจริง ๆ  มนุษย์ นั้น สรรหาคำ สร้างคำสุดบรรเจิดได้เช่นกัน ตัวอย่าง เช่น รถติดแบบ วินาสสันตะโร ติดกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ให้ตายกันอยู่ในรถกันไปข้างหนึ่ง  หรือหิมะตก แบบไม่ลืมหูลืมตา

แม้เราจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่มาเรื่อย ๆ  อายุของโลกก็มากขึ้น แต่เหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ รอบโลกกลับชวนให้คิดว่า โลกอาจถึงคราวใกล้ดับสูญ ไม่ว่าจะเป็นการที่ประธานาธิบดีของชาติมหาอำนาจ แถบยุโรป สั่งปลิดชีพผู้บัญชาการทหารคนสำคัญของอีกชาติหนึ่ง ทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางร้อนระอุ จนหลายคนกลัวกันว่า จะเป็นการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3  หรือแม้ แต่ไฟป่าในออสเตรเลียที่เผาไหม้สร้างความเสียหายมหาศาลมา นานนับเดือน  โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะดับลง ได้แต่อย่างใด รวมไปถึงการระบาดของโรคปอดอักเสบ แบบปริศนา ที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดในโลก จนกลายพันธุ์ไปสู่ระงับ ยับยั้งได้ยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือมนุษย์ จะสิ้นกันไปในคราวมันระบาดนี้

            เมื่อหันกลับมาดูในบ้านตัวเอง เหตุการณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ดูมีความหวังไปกว่ากัน เพราะนอกจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะยังอยู่กับเราต่อไป ทั้ง ก็ยังมีข่าวน้ำแล้ง อย่างรุนแรงและข่าวน้ำทะเลหนุนส่งผลให้น้ำประปาเค็มอีกด้วย

            หรือความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก ตามแนวคิดตามแบบชาวตะวันตกจะมาถึงแล้ว คำและสำนวนเกี่ยวกับจุดจบของโลกส่วนใหญ่ จึงมักมีที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล ทั้งนี้ ส่วนของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งกล่าวถึงวันสิ้นโลกไว้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ หนังสือวิวรณ์ (The Book of Revelation) ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่

            หนังสือเล่มนี้ระบุไว้ถึงวิวรณ์ หมายถึง นิมิต  นิมิตเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ชาวโลกนำไปเทียบเคียง และพิจารณาว่า เหตุการณ์ ของโลกในปัจจุบัน เป็นอย่างไร เราจะปฏิเสธ หรือยอมรับ เมื่อโลกถึงกาลอวสาน ซึ่งพระเจ้า ได้ประทาน ให้แก่พระเยซู และพระเยซูก็ได้ให้เทวทูต เรียกว่าทูตแห่งสวรรค์ นำมาเปิดเผยแก่จอห์น เขาชื่อว่า จอห์น เป็นผู้ที่รับบัญชานี้ มาแจ้งแก่มนุษย์

            กล่าวกันว่า มนุษย์ จะต้องพบกับ เลวร้ายในเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลก  ส่วนมากแล้ว มักเกี่ยวข้องกับการทำลายล้าง เช่น ธรรมชาติจะพิโรธ แผ่นดิน ท้องฟ้า จะแปรปรวนจนในที่สุด จะอันตรธานหายไปจากโลก และขณะเดียวกัน คนบาปจะถูกโยนลงในบ่อเพลิง เรียกได้ว่า โลกอย่างที่เรารู้จักนี้ จะถึงกาลดับสูญ

             ดังนั้น คำว่า วันสิ้นโลก จึงเริ่มถูกนำมาใช้ หมายถึง การทำลายล้างขั้นรุนแรง ภัยพิบัติ ความวิปโยค อาจจะไม่ได้หมายถึงวันสิ้นโลก ตามความเชื่อทางศาสนาจริง ๆ อาจจะเป็นแค่การชำระโลก ให้สะอาดขึ้น เท่านั้น ทั้งอาจหมายถึง การล้างขยะโลก ก็ได้  เช่น  หากชาติมหาอำนาจ ใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้าโจมตีกันจริง ๆ จนเกิดการทำลายล้างอย่างมหาศาลไปทั่วโลก  หรือแม้แต่ เหตุการณ์ไฟป่าในออสเตรเลียที่สร้างความเสียหายแก่ป่าไม้ และสัตว์ป่าต่างๆ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นลาง เป็นสิ่งบ่งบอกว่าจะถึงเวลาแล้วหรือ

            เท่านั้น ยังไม่พอ ในหนังสือวิวรณ์ ยังระบุไว้ด้วยว่า เมื่อโลกถึงช่วงเวลา แห่งกาลดับสูญ บรรดาพวกภูติ ผี ปีศาจ สิ่งที่ชั่วร้ายจะบังเกิดขึ้นในเวลาเดียงกัน  รวมไปถึงผู้นำระดับประเทศ จากทั่วทุกมุมโลก ก็จะถูกอำนาจของปีศาจร้าย เข้าสิงสู่ในจิตและควบคุมร่างกายให้เป็นไปตามความต้องการของปีศาจร้าย ซึ่งเหตุการณ์ นี้ก็กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

            พวกเขาผู้นำอำนาจในดินแดนของตน จะให้นำไพร่พลของตน เข้ามารุกรานกัน เข้ารบพุ่ง ทั้งก็ต่อต้านกันเอง ต่อต้านกองกำลังผู่ใฝ่ดีของพระผู้เป็นเจ้า หมายถึง มนุษย์ฝ่ายดี  ความหมายข้อนี้จะเกิดเรื่องประเภทเดียวกันนี้ ในหลายประเทศ  แต่ที่บันทึกไว้ นี้เพียงแต่ เป็นตัวอย่างในคัมภีร์คริสต์ ที่เชื่อว่าชัดเจนที่สุด บันทึกต่อว่า ในการรบครั้งสุดท้าย ณ สถานที่ที่มีชื่อว่า อาร์มาเกดดอน (Armageddon) ทั้งนี้ นักวิชาการหลายคน เชื่อว่าคำนี้มาจาก Har Megiddo ในภาษาฮีบรู หมายถึง ภูเขาหรือเนินเขาเมกิโด ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล

            เมื่อมนุษย์ทำลายมนุษย์ ด้วยกัน ความดีงามได้สูญสลาย ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมก็วิบัติ จึงนำไปสู่การทำลายล้างเหล่าคนบาปบนโลก และการปราบซาตาน ตามภารกิจของเทพเจ้าไปพร้อม ๆ กัน

            ดังนั้น คำว่า ซาตาน นั้นน่าจะหมายถึงผู้นำ ที่กระทำการไม่ยุติธรรม ที่ทารุณกรรม ทำกรรมเลวกับประชาชนของตน ทำกรรมเลวต่อมนุษย์ชาติ และสิ่งแวดล้อมบนโลกให้เสื่อมโทรม พวกซาตาน เหล่านี้ กองกำลังของเทพเจ้าจะมาปราบให้ราบคาบ เป็นเป้าหมายแรก

            เพื่อให้มนุษย์ที่เหลืออยู่ เข้าสู่บรรยากาศแห่งความสงบสุขก่อน แล้วค่อยดำเนินการเรื่องอื่นต่อไป   เรื่องสับสนวุ่นวาย ในหมู่มนุษย์ มากมายนานาประการร้าย จึงเริ่มถูกนำไปใช้ หมายถึงตัวการรบ ครั้งนี้จะหมายถึง การกระจายตัว ของความขัดแย้งกัน ไปในทุกสถานที่ และในเวลาต่อมา คำนี้ก็เริ่มถูกนำมาใช้ในบริบทอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องของศาสนาด้วย เพื่อเรียกว่า เป็นการสู้รบหรือความขัดแย้งครั้งใหญ่ ที่ส่งผลทำลายล้าง กันของมนุษย์ และทำลายล้าง สิ่งแวดล้อม อย่างรุนแรง

            จนอาจ หวั่นว่า จะนำไปสู่จุดจบของมนุษยชาติ หรือสร้างหายนะครั้งใหญ่หลวง จนชวนให้นึกถึงวันสิ้นโลก ตัวอย่าง เช่น หากวันใด วันหนึ่งมีบางประเทศ ได้เริ่มชิงความได้เปรียบก่อน เพื่อเป็นเจ้าโลก ได้ยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่กัน ไปมา ลองนึกภาพ ว่าอะไรจะ เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ลองนึกภาพตามว่า  มนุษย์จะหายกลายเป็นฝุ่นละออง ชั่วพริบตา หรือไม่ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่กล่าว กันเล่นแบบสนุกปาก

            หนังสือวิวรณ์ ยังเล่าต่ออีกว่า ทำไมต้องยกตัวอย่าง เพียงแต่หนังสือวิวรณ์ เท่านั้น ก็เพราะหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มเดียวที่กล่าวถึง และบันทึกเรื่องวันสิ้นโลกไว้ชัดเจน และละเอียดมากที่สุด เท่าที่โลกมีในขณะนี้

            หลังจากการรบที่ อาร์มาเกดดอน ได้สิ้นสุดลง และเมื่อซาตานถูกปราบจนราบคาบแล้ว จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าการพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ในวันพิพากษา (Judgment Day) นี้ กล่าวกันว่าคนจะตายกันเป็นส่วนมาก หรืออาจจะทั้งหมด  แต่มนุษย์ เหล่านั้น จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์

            มนุษย์ เหล่านั้น จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา จากความตายแล้ว มารับคำพิพากษาจากพระเจ้าตามที่ระบุในหนังสือแห่งชีวิต ใครที่ศรัทธา ในความดีงาม และทำตามพระประสงค์ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ส่วนคนบาปก็จะถูกจับโยนลงนรกให้มอดไหม้  ความหมายตรงนี้ ก็เหมือนกับความเชื่อเรื่องการพิพากษาของท่านพญายม ในแดนยมโลกนั้นเอง

            ทั้งนี้ วันพิพากษายังมีชื่อเรียกอีกชื่อคือ day of reckoning  หากจะแปลให้แซบๆ หน่อยก็คงออกแนว วันคิดบัญชี จึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนหมายถึง เวลาที่ต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่ตนเองทำเอาไว้ เวลาที่จะได้รู้ดำ รู้แดงว่า ผลจะออกมาดีหรือร้าย ตัวอย่างเช่น นักการเมืองหลายคนจะโกงกินแต่ดันรอดตัวไปได้เสมอ หากเราเชื่อว่าสักวันหนึ่งนักการเมืองเหล่านี้จะต้องชดใช้ผลกรรมที่ตนเองทำไว้ แบบนี้เราก็อาจจะพูดว่า Their day of reckoning will come. หรือหากเราเรียนๆ เล่นๆ มาทั้งเทอม เราก็อาจจะเรียกวันสอบว่าเป็น the day of reckoning เพราะจะเป็นวันชี้ดำชี้แดงว่าสรุปเราได้ตักตวงฝึกฝนไว้พอที่จะสอบผ่านหรือไม่

            หนังสือวิวรณ์ยังกล่าว ต่อให้เราทราบด้วยว่า เมื่อวันพิพากษาจบลงแล้ว จะมีสวรรค์และโลกใหม่อันเป็นดินแดนบริสุทธิ์ ที่ซึ่งพระเจ้าทรงประทับร่วมกับมนุษย์ อีกทั้งยังปราศจากความตายและความทุกข์โศกต่างๆ  อาณาจักรแห่งใหม่ของพระเจ้านี้เป็นที่มาของสำนวน kingdom come อันหมายถึง สวรรค์ โลกหน้า ซึ่งความหมายข้อนี้ ก็ล้วนมาตรงกับความเชื่อและเรื่องเล่าขานมานานนมของ ชาวพุทธ ในเรื่องยุคศิวิไลย์  ดินแดนของอารยะของพระศรีอริยะเมตไตย ที่ชาวพุทธ ตั้งตา เฝ้ารอคอย การมาของพระองค์ ช่างยาวนาน แสนนานมาก แต่ก็ยังไม่สิ้นหวัง มานานหลายพันปี เช่นกัน

            พอมาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจเกาหัวงงกับ จุดอวสานของโลก เป็นไปได้จริงหรือ แล้วเจ้าโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว มันมาพลิกชีวิต จนวิถีชีวิตมนุษย์ เปลี่ยนไปแบบพลิกผ่ามือ ในตอนนี้ละ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครอธิบายได้บ้าง แล้วจะเชื่อว่าจริงหรือไม่ แล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป ตอนนี้คงมองหาคำตอบไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัย มีไม่มากพอ เราจึงสามารถจะประเมินอะไรในอนาคตของตนเองได้ เพราะเจ้า ปีศาจร้ายยังไม่จางหายไป แต่เชื่อว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

            มนุษย์ย่อมมีความหวังเสมอ คนดีถูกมนุษย์ ด้วยกันรังแก  แต่ฟ้าไม่เคยรังแก คนดี คนดีได้รับการยกย่องจากคนทั่วไป  ฟ้าก็พลอยปลาบปลื้ม ยินดีไปด้วย  คนที่โหดเหี้ยม เป็นที่เกรงกลัวของคนอื่น  แต่ฟ้าไม่เคยเกรงกลัว คนโหดเหี้ยม และไม่เคย เกรงกลัวมนุษย์ที่คิดแต่เรื่องร้าย กับมนุษย์ ด้วยกัน ทั้งฟ้าจะไม่ยินยอม ฟ้าจะลงโทษ อย่างไม่ปราณี และตอนนี้ ฟ้าก็กำลัง ลงโทษเช่นนั้น ท่านทั้งหลาย มองเห็นกันบ้าง หรือไม่

---------------------------------

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น