วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 

สมเด็จโต ชี้หนียุคมืด หนีมหาภัยพิบัติโลก




        พระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง และพระเครื่องตระกูลวัดระฆังนั้น ถือว่าเป็นพระเครื่องที่ เป็นยอดปรารถนาของ คนทุกคนในพื้นแผ่นดินไทย คำกล่าวนี้ คงจะมี น้อยคนนักที่ จะคัดค้าน นับว่า เป็น เพชรมณี อันล้ำค่า แห่งยุครัตนโกสินทร์ และอาจถึงยุคในอนาคต ก็น่าจะเป็นไปได้สูง นั้น นั้นก็คือผลิตผล ที่ยึดยันว่า อำนาจพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และพระสังฆคุณ นั้น มีจริง  นับว่าเป็นผลงานชิ้นเลิศ ที่สมเด็จโต พรหมรังสี ได้เมตตา สร้างขึ้นมา เพื่อเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ ของชาวพุทธ ทั้งเป็นของที่วิเศษ คู่แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แห่งนี้ 

            เมื่อ ครั้งที่สมเด็จโต ยังมีชีวิตยู่นั้น ครั้งหนึ่งท่านแสดงธรรมให้ชาวบ้านฟัง ท่านกล่าวว่า  การกำเนิดเกิด ขึ้นของเมืองแห่งศิวิไลซ์  นั้นเราสามารถสร้างขึ้นได้ทันที และเดี๋ยวนี้เลย เรื่องนี้ นั้นจงจำไว้ ว่าอีกไม่นานภัยพิบัตินั้นกำลังถาโถมเข้ามา  หลังจากจบสิ้น ของการชำระแผ่นดินนั้นแล้ว นั้นแหละ จึงจะเป็นจุดเริ่มต้น ของ เมืองศิวิไลซ์  แต่ก็ขึ้นอยู่กับชาวพุทธว่า จะทำสำเร็จหรือไม่

        ดังนั้น บุคคลใด ถ้ายังไม่มั่น ในทาน ศีล ภาวนา ก็ขอให้มั่น ขยันกัน อย่าลังเล  อย่าประมาทกันเรียกว่า ให้เจริญภาวนาจิต ให้จิตแนบสนิท กับลมหายใจ  เมื่อระลึกได้ ก็ดี เมื่อนั้น บุคคลผู้นั้นจะอยู่รอดปลอดภัย จากความวิบัติทั้งปวง แม้เกิดภัย ก็จะรอด หรือถ้ารอดมาแล้ว ก็ยังมีสติสมประกอบอยู่ จะไม่ได้เสียสติ เหมือนคนที่ไม่ได้มีธรรม ประจำใจ

        ดังนั้น ขอให้ท่านเชื่อว่า กรรมเมื่อให้ผลแล้ว มันจะยังให้ผู้นั้นแล ที่ได้สร้างกรรมไว้ในอดีต ต้องชดใช้

        กงล้อแห่งธรรมนี้ กงธรรมจักรนี้ได้เดินเข้ามาสู่  มันกำลังเข้าสู่หายนะ นั่นหมายถึงว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาแล้ว..ตั้งอยู่แล้ว..ย่อมมีแต่วันเสื่อม

        นั่นก็หมายถึงว่า มนุษย์กำลังเสื่อมด้วยศีลด้วยธรรม เมื่อคราใดมนุษย์นั้นเสื่อมด้วยศีลด้วยธรรม ทั้งเมื่อผู้ทรงศีล ก็ไม่ตั้งมั่นในศีลแล้ว คุณธรรมทั้งหลายก็เสื่อมลง เมื่อมีความเสื่อมลง เป็นไปในตามธรรมและศีล ก็เรียกว่ามีการถูก เหลื่อมล้ำ  การว่าถูกเหลื่อมล้ำหรือถูกกระทบมันก็จะบังเกิดขึ้น กงล้อของศีลเมื่อมันเสื่อมแล้ว เรียกว่ากำแพงศีลมันเสื่อม เมื่อกำแพงศีลมันเสื่อม ก็ขอให้จงจำเอาไว้ ภัยก็ดีที่จะเกิดขึ้นมันก็ย่อมเข้ามาได้โดยง่าย

            ดังนั้นสยามใด ประเทศใด  ณ ที่แห่งใดเจริญในทาน ศีล ภาวนาอยู่ มีการอธิษฐานจิต ขอขมา ขออโหสิกรรมอยู่นั้นแล ก็เรียกว่า พระแม่ธรณีจะยกแผ่นดินขึ้นมาให้สูงขึ้น เป็นเกาะเป็นแก่ง

        ดังนั้น ในช่วงนี้ก็จะเห็นว่าจะมีภัยขึ้นมา จึงบอกว่ายุคนี้ต่อไปนี้..มนุษย์นั้นจะล้มตายหายจากนั้นเป็นหมู่คณะ  จะตายเป็นกลุ่มเป็นก้อน  และก็จะผู้ที่จะหลุดพ้นกรรม พ้นภัยนั้นก็จะไปเป็นหมู่คณะ เป็นกลุ่มเป็นก้อน  เช่นเดียวกัน

        ดังนั้น ขอให้โยมสามัคคีกันไว้ กรรมอันใดในกรรมที่โยมทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาฆาตพยาบาท มาดร้ายต่อกัน ความไม่เข้าใจ ความมีอคติต่อใจแล้ว ขอให้โยมให้อภัยกัน ให้มาก การให้อภัย กันนี่แล คือการตัดวงจรแห่งกรรมชั่ว ได้อย่างสิ้นเชิง

        เพราะเมื่อโยม ตัดอโหสิกรรม ขอขมากรรม ไม่มีภัยต่อกันแล้ว การจะเจริญทาน ศีล ภาวนา มันก็เป็นไปได้โดยง่าย เข้าใจนะ หากไม่อย่างนั้นแล้ว แม้แต่โยมจะเจริญกรรมฐาน เป็นร้อยปี ก็จักเป็นผลได้ยาก เพราะว่าจิตใต้สำนึกของโยมนั้น ยังมีอคติมีอกุศลอยู่ เข้าใจนะ ตรงนี้ เชื่ออาตมา

        ดังนั้น เมื่อมีการกระทบกระทั่งกัน ขอให้โยมรู้จักการให้อภัย ให้ความเมตตาต่อกัน  คนเมื่อเจริญเมตตา ติดต่อกันมาก ๆ แล้ว แม้บุคคลนั้นจะมีโทสะ โมหะ โลภะมากแค่ไหน ก็ตาม มันจะลดลงไปในตัวของมันเอง  เพราะว่าอำนาจแห่งความเมตตานี้ เค้าเรียกว่าจะไม่ถือสา กันต่อไป

             ดังนั้น ฉันจึงบอกว่า ทุกครั้งที่โยม จะเจริญพระกรรมฐานก็ดี ขอให้โยมมี ๓ สิ่ง  คือมีพระประจำกาย เสกพระเข้าตัว หรือเชิญสมเด็จ ฯเข้าตัว  อันที่สองให้ใส่เสื้อเกราะเพื่อป้องกันภัย ก็คือศีล สำรวมกาย วาจาให้มันตั้งมั่น อาวุธอย่าได้ขาดทิ้ง หรือห่างกายไป คือตัวสติ ตัวภาวนา เท่านี้มันจะคุ้มครองโยมได้ เข้าใจนะโยม ถ้ายังมีความมักมากอยู่ ยังขาดหิริโอตัปปะอยู่..กรรมนั้นแลจะเป็นผู้ให้ผล

            ดังนั้น ๓ อย่างที่ฉันบอกนี้ หากโยมตั้งมั่นในศรัทธา โยมก็จะอยู่รอดปลอดภัย แล้วก็ยังไม่ใช่อย่างนั้นอย่างเดียว หมายถึงว่า โยมก็จะช่วยเหลือคนอื่นเค้าได้ ด้วย

        เพราะ ถ้าผู้ใดเจริญมนต์ เจริญศีลก็ดี มีภาวนาก็ดี แม้ผู้อยู่ใกล้ก็ยังได้อานิสงส์อยู่รอดปลอดภัยไปด้วย เข้าใจมั้ยละ เพราะว่ากงล้อแห่งธรรมจักร กงล้อแห่งธรรมได้เคลื่อนที่มากึ่งยุค พุทธกาลแล้ว เมื่อมันมากึ่งยุคแล้ว มันก็จะเคลื่อน ตัวเข้าสู่ยุคมืด ยุคมืดนี้แหละ น่ากลัวมาก สำหรับมนุษย์

        เมื่อโยม จะผ่านถ้ำ มันมีความมืดยาวนานแค่ไหน ในขณะที่มันอยู่ในยุคมืด ยุคมืด มันคืออะไร นั้นหมายถึงว่า ศีลธรรมมันเสื่อม นั้นเอง

        ความมืดบอดมันก็ได้บังเกิดขึ้น ตรงนี้ อวิชชามันได้ปกคลุมในสิ่งนั้น คราวนี้มันจะออกไปได้ยาวนานมาก เราจะรอดพ้น จากถ้ำแห่งความมืดนี้ไปได้อย่างไร  ผู้ที่จะรอดพ้น จากอันตรายแห่งความมืดนี้ได้ นั้นต้องเป็นผู้  มีศีล ตั้งสติที่เป็นธรรมให้ได้ จึงจะปลอดภัย

        เหตุนี้แล ฉันจึงต้องมาบอกทาง หนึ่งทาง หรือที่หลบภัยอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อสังคมมันมืดมาก ๆ นั้น อันตรายย่อมมากขึ้นตามลำดับ  คนในยุคนั้นอาจจะทราบดี ว่าภัยนั้นมีอะไรบ้าง  ที่หลบภัยนั้นก็มี  ส่วนที่หลบภัยที่แท้จริงนั้น  ก็คือการเจริญ สติ ตามหลักอานาปานสติ คือการทรงสมาธิ ทรงฌาน ทรงธรรม ทรงศีลไว้ ให้บังเกิดขึ้น ในจิตตน  เพราะหากสถานที่แห่งใด มีการเจริญภาวนาจิต มีการสาธยายมนต์ มีการสวดมนต์ แล้ว แผ่กระแสจิต เมตตาจิต ส่งความปรารถนา เป็นประจำ กระแสธรรมนั้น ย่อมแพร่ กระจายปกคลุม ปกครองรัศมี อันกว้างขวางไปได้

 

            คงไม่มีใครหนีกรรม อันเป็นธรรมชาติได้ แต่เมื่อเราหนีธรรมชาติไม่ได้ เราจะทำยังไงละ เราก็ต้องสร้างภูมิป้องกัน สร้างภูมิจิตให้สูง ยกแผ่นดินขึ้นมา ถ้ายกจิตให้มันสูง มันก็พอยกได้

        หลวงปู่ แนะนำว่า ยกจิตให้มันสูง มันก็พอยกได้ การยกธรณียกแผ่นดิน ก็ต้องอาศัย การอธิษฐานต่อแม่ธรณี  ให้ช่วย อธิษฐานเพื่ออะไร จะขอใช้พื้นที่แห่งนี้ไปทำอะไร ก็บอกท่านตามที่ต้องการ

        แล้วถ้าโยม มีสัจจะ มีความจริงใจพอ หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์ พระแม่ธรณีท่านรับทราบแล้ว นั้น ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของท่าน ท่านจะพิจารณาเอง  ว่าจะยกเว้นไว้กับมนุษย์กลุ่มไหนนั้น แต่มนุษย์ผู้นั้น ต้องผู้มีศีลมีธรรม แน่นอน ที่ท่านจะเมตตา

        เราก็เคยได้ยิน ได้ฟังมาแล้วว่า องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้พยากรณ์ไว้ ว่า เมื่อมาถึงกึ่งพุทธกาลหรือกึ่งแห่งศาสนาของพระองค์ แล้ว มนุษย์จะพบกับความชอกช้ำ ศาสนานั้นจะมีความชอกช้ำ มั่วหมองทั้ง มนุษย์ทั้งหลาย ในกาล นั้นจะเห็นผิดเป็นชอบ  เห็นความชอบ เป็นความผิด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น หรือยัง ถ้าตอบตนว่า เกิดขึ้นแล้ว นั้นและความวิบัติของมนุษย์มาถึงแล้ว ให้รีบหาเกาะกำบังตน

        ดังนั้น ถ้าโยมไม่ ตั้งมั่นในศีล ทาน ภาวนา ในศีลธรรมแล้ว ความเสื่อมก็ดี อวิชชาก็ดี มนต์ดำก็ดีจะเข้าหาตัวโยมได้ง่าย  ฉันถึงบอกว่า  โยมต้องมี ๓ อย่าง ก็คืออาราธนาพระสมเด็จเข้าตัว คือระลึกถึงพระพุทธไว้ มีองค์ภาวนาก็ดี พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี

        อย่าลืมใส่เสื้อเกราะอยู่ตลอดเวลา คือการใส่เสื้อเกราะทำยังไง ให้สำรวม กาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นคือศีล อันว่าปัญญา นั้นเปรียบดังอาวุธคือ โยมมีสติ คือระลึกถึง ๒ อย่างนั้นคือพระพุทธ และก็ศีลที่โยมมีอยู่ ก็จะรวมแล้วเป็นพระรัตนตรัย เข้าใจกันนะ แน่นอน แน่ใจได้ว่าพระรัตนตรัย จะคุ้มครองให้โยมนั้นอยู่รอดปลอดภัย แม้ว่าโยมจะทำการสิ่งใดก็ตาม โยมก็จะทำในสิ่งนั้นได้ สำเร็จ จะปลอดภัย พากาย และสังขาร ของตน เข้าสู่ยุค เมืองศิวิไลซ์ ถิ่นคนดี มีแต่ความเจริญ สมปรารถนา

-----------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น