วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

 

คุณไม่เปลี่ยน โลกเปลี่ยนคุณ 

            ในปัจจุบันมีการกล่าวถึง  การพัฒนาจิต ไปสู่ มิติที่ 5  กันอยู่บ่อยครั้ง หลายท่านที่กำลัง งง  งง กับคำว่ามิตินี้ เรามาหาความหมาย ไปพร้อม ๆ กัน   ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสรรพสิ่งในโลก และจักรวาล นั้น ทุกอย่างที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น ด้วยขีดจำกัด บางอย่างที่ยากแก่การหยั่งรู้ นั้น  มันก็เริ่มจากจุด หนึ่งจุด แล้วมันก็ขายายออกมาอีกหลายจุด  ดังนั้น คำว่า มิติ หรือ Dimension มีความหมาย อย่างง่าย ๆ ว่า การวัดระยะจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หมายความว่า ต่อไปว่าในโลกและจักรวาล รวมถึงดาวดาวทุกดวงที่เรารู้และไม่รู้ก็ตามจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนกันที่เราเรียกว่า เป็นมิติ เป็นการวัดระยะจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง  ที่กล่าวมาข้างต้น




            ในความหมายของคำว่ามิติ  นี้ ท่านผู้รู้ได้แนะนำไว้ว่า มีด้วยกันถึง 10 มิติ  ส่วนมิติที่หนึ่ง ถึงมิติที่สามนั้น  มนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว  ปัจจุบัน กล่าวกันว่าเรากำลังอยู่ในมิติที่สี่ และกำลังจะกล่าวข้ามไปสู่มิติที่ ห้า ที่กล่าวถึงกันมากตอนนี้ และกำลัง งง งง กันอยู่ตรง นี้ หวังว่าท่านที่ตามไม่ทันก็คงจะพอเข้าใจกันขึ้นมาแล้วบ้างในคำว่ามิติ

การจะเข้าใจมิติที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วก่อนครับ

            มิติแรก เรียกว่า มิติที่ 0 : คือ จุด  เป็นมิติเริ่มต้น ของการเกิดสรรพสิ่ง หมายความว่าเป็นจุด คือสรรพสิ่ง เป็นแค่จุด หรือศูนย์ ไม่มีระยะ ใด ๆ   ต่อมาโลกเริ่ม ขยายมาสู่ มิติที่หนึ่ง   มิติที่ 1: หมายถึง เส้น ถ้าเทียบได้ ก็จากจุดหนึ่งไป ยังอีกจุดหนึ่ง  หมายความว่าวัตถุจะขยายขนาด จากจุดมาเป็นเส้น

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 2 : มิติที่ 2  หมายถึง บนโลกจะเริ่ม เกิดวัตถุ แบบเป็นเส้นสองเส้น (นึกถึงรูปตัว Y) (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่มีตัวเลือก 2 ทาง) หรือ นึกถึงกระดาษ บางมากๆ 1 แผ่น ที่ไม่มีความหนา

            มิติที่ 3: หมายถึง เส้นสองเส้น (รูปตัว Y) แต่ตัว Y นี้อยู่บนกระดาษ และเราสามารถพับกระดาษให้หัวตัว Y มาชนกัน ทำให้ระยะที่เคยวัดจากตัว Y ปกติเปลี่ยนไป นึกถึงมดที่เดินอยู่บนขาตัว Y ด้านซ้าย แล้วพอพับกระดาษมาชน ก็สามารถไปยังขาตัว Y ด้านขวาได้ทันที หรือนึกถึง ตัวเรา ที่อาศัยอยู่ในโลกที่มีความกว้าง ยาว และมีความสูง ถ้าเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพก็คือมนุษย์ยุคหิน ประมาณนั้น

            มิติที่ 4: หมายถึง เวลา  เป็นมิติที่ซับซ้อนมากขึ้น ในโลก  ซึ่ง ไอน์สไตน์ เป็นคนแรกที่นำเสนอแนวคิดนี้ว่า สถานที่และเวลา มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็น กาลอวกาศ หรือ Space-time สถานที่ ไม่อาจแยกจากเวลาได้ และเวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ โดยวัตถุใด ๆ ยิ่งเคลื่อนที่ ได้เร็วเท่าไหร่ เวลายิ่งเดินช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราเข้าใจว่า เวลาเป็นเหมือนระยะอย่างหนึ่งแล้ว เราจะมองได้ว่า การที่เรานั้น เดินทางจากจุดที่เราเป็นเด็ก จนถึงจุดที่เราแก่ได้นั้น เป็นเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น ระยะของมิติที่ 4 คือ การเดินทางของเวลา จากอดีต มาสู่ปัจจุบันนั่นเอง

            ส่วนคำว่า มิติ ในทางฟิสิกส์  อาจจะหมายถึง dimension ซึ่งโลกที่เราอยู่ ในปัจจุบัน ที่สัมผัสได้มี 4 มิติอยู่แล้ว  ตามความหมายว่า เพราะสรรสิ่งในโลกปัจจุบันนี้  มีวัตถุ  ที่ประกอบไปด้วย  ความกว้าง ความยาว ความลึก และเวลา ส่วนทฤษฎีสตริง และ ซุเปอร์สตริง  กล่าวว่า มีสิบมิติ  พวกมิติทั้ง 10 หรือ 10+1 เป็นการขดม้วนของมิติพิเศษเข้ามาเป็นโครงสร้าง 3 มิติ + เวลา อีกทีหนึ่ง สำหรับมิติในศัพท์ที่คนทั่วไปใช้ ควรหมายถึง โลกขนานมากกว่า  ซึ่งก็เป็นภาษาวิทยาศาสตร์คนทั่วไปจะเข้าใจยากสักหน่อย

            โลกขนานเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ ในลักษณะการเกิดของจักรวาลแบบ Multiverse คำว่าเป็นไปได้ หมายความว่า ไม่มีกฎทางวิทยาศาสตร์อะไร จะไปห้ามไม่ให้มันมี แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานจะบอกว่ามันมี โลกขนานในทาง Multiverse มันอาจเป็นจักรวาลที่มีกฎทางฟิสิกส์เป็นของตัวเอง ค่าคงที่ของจักรวาลต่างๆอาจต่างไปจากเรา และอาจไม่มีทางที่จะเกิดสรรพสิ่งไป จนเกิดสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราเพราะ อนุภาคมูลฐานต่าง ๆ  นั้นมันไม่เสถียร เพียงพอ ที่จะก่อตัวเป็นอะตอม หรือมันอาจมีคำตอบอื่นของการเกิดของชีวิตข้อมูล หรือพลังงานที่ไม่ใช้โครงสร้างเคมี อย่างสิ่งมีชีวิตในจักรวาลของเรานี้ก็เป็นได้

            ต่อมาก็เป็นมิติที่ ห้า ที่มนุษย์ยุคนี้ได้กล่าวถึงกันมาก มิติที่ 5: หมายถึง โอกาส โดย ถ้าเราเข้าใจมิติที่ 4 ว่า เวลา มีลักษณะเป็น เส้น ที่ลากจากอดีต มาสู่ อนาคต และเราเข้าใจว่า มิติที่ 2 คือ ตัว Y นั้น

            มิติที่ 5 ก็หมายความว่า เราในปัจจุบันนี้ อาจจะเดินทางไปยัง ขา Y ด้านซ้าย หรือ ขา Y ด้านขวา ก็ได้ หมายความว่า ตัวเราในปัจจุบัน จะเป็นอะไรในอนาคตก็ได้ เช่น ในตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจจะฝัน ว่า อยากจะเป็น นักบินอวกาศ หรือ หมอ หรือ พ่อค้า หรือ ชาวนา ก็ได้ หมายความว่า จะมีการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทั้งยังสร้างวัตถุ ที่อาศัยเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น มีคุณภาพขนาด คล้ายกับการจิตนาการ ในความฝัน ที่เกิดเป็นจริง ได้ สามารถสัมผัสใช้งานได้จริงนั้นเอง

            มิติที่ 6: หมายถึง เราสามารถพับ ให้ขา Y ด้านบน  หมายถึง หรือตัวเราตอนแก่ ให้ มาเจอ มาบรรจบ กับ ขา Y ด้านล่าง คือ เราตอนเราเป็นเด็กได้  ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราพบมิติที่ 6 ได้จริง และเป็นจริง ในทางปฏิบัติ จริง ๆ ได้เมื่อไหร่  เราจะสามารถย้อนเวลาไปยังอดีต หรือ เดินทางไปในอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันที ทันใด ชนิดที่เรียกว่า เร็วกว่าแสง คือ เมื่อเราพับ space-time ได้  จริง

            เมื่อถึงเวลานั้น จริง เราอาจพบโดราเอมอน แม่นาค พระโขนง หรือยักษ์ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ ได้ที่เดียว สำหรับมิติที่ 6 นี้ ถ้าเราสนใจว่าเป็นอย่างไร  ก็นึกถึงหนัง ในโลกอนาคต ได้หลายเรื่องเลย แต่ที่ขอแนะนำคือ Man in Black ภาคล่าสุด ที่มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว ที่พอถอดหมวกออกมา มีหัวกลวง ๆ สีฟ้า และมีความสามารถพิเศษคือ สามารถเข้าออกมิติที่ 6 ได้อย่างอิสระ และมีตอนหนึ่งในหนัง ที่บอกว่า ชาย คนนี้ สามารถอยู่ได้ทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อม ๆ กัน และสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ของอนาคต ได้ทุกรูปแบบ ซึ่งตอนดูหนังก็ยังงง ๆ  เพิ่งมาเข้าใจตอนดูคลิปอธิบายเรื่องมิตินี้ เอง มันเจ๋งเอามากๆ

            มิติที่ 7: จะเข้าใจมิติที่ 7 ได้ ต้องเข้าใจจุดของมิติที่ 7 ก่อน คือ การที่เรามองสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่าง จักรวาลทั้งจักรวาล เป็นเหมือนจุด ๆ หนึ่ง ซึ่งจุดนี้ รวมความเป็นได้ของจักรวาลของเราที่ควรจะเป็นทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิด บิ๊กแบก จนถึง จุดจบของจักรวาลที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบ ซึ่งจุดนี้ ก็หมายถึง อนันต์ นั่นเอง ทีนี้ องค์ประกอบอีกอย่างของมิติที่ 7 ก็คือต้องมีอีก จุด (อนันต์) อีกจุดหนึ่ง

            ซึ่งแตกต่างจากจุดแรกโดยสิ้นเชิง หรือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากจักรวาลของเรา โดยสิ้นเชิง คือ แตกต่างทั้ง จุดกำเนิดจักรวาล และโอกาสการเกิดจุดจบของจักรวาลนี้ทุกรูปแบบ แน่นอนว่า รวมถึงกฎฟิสิกส์ต่าง ๆ ในจักรวาลนี้ก็แตกต่างจากเราด้วย ทีนี้เส้นเชื่อมจุดสองจุดนี้ ก็เหมือนกับว่า เราสามารถเดินทางจากจุด (อนันต์) จุดอนันต์ หมายถึงจุดที่ไม่รู้จบ หมายความว่ามันยาวและไกลมาก จนเราแทนความหมายว่า อนันต์ หรือ จักรวาลของเรา ไปยังอีกจุดอนันต์หนึ่ง (อีกจักรวาลหนึ่ง) ได้นั่นเอง หมายความง่าย ๆ ว่า พอถึงยุคมิติที่ 7 นั้น เราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลกันไป มาได้แล้ว

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 8:   มิติที่ 8  คือ แทนที่จะมี จุดอนันต์ แค่ 2 จุด (หรือ 2 จักรวาลนั่นเอง สมมุติว่าเป็นจักรวาล A และอีกจักรวาล B) ก็มีจุดอนันต์ เพิ่มมาอีก 1 จุด (อีก 1 จักรวาล สมมุติว่าเป็น จักรวาล C ที่แตกต่างจากอีก 2 จักรวาลแรกโดยสิ้นเชิง) และเราก็สามารถเลือกที่จะเดินทางได้ว่า จากจักรวาล A ของเรา  จะเดินทางไปยัง จักรวาล B หรือ จักรวาล C ก็ได้  หมายความว่าการเดินทางจะข้ามไปอีกมิติจักรวาลอื่นได้อีก

            และ มาถึง มิติที่เก้า มิติที่ 9 : น่าจะยิ่งมันส์มากขึ้น ตามลำดับ เราและท่านไปเป็นอากาศอยู่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้  เพราะนอกจากเราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ แบบไม่มีขีดจำกัดได้แล้ว เรายังสามารถพับ ให้จักรวาลทั้ง สองจักรวาล หรือ 3 จักรวาล มาอยู่ในจุดเดียวกัน ทำให้เราสามารถว๊าป จากจักรวาลหนึ่ง ไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ทันที

            ตอนนี้เราอาจนึกถึง การ์ตูน ประกอบ  เรื่อง โจโจ ล่าข้ามศวรรตษ ภาคที่แล้วมากๆ (ภาค สตีล บอล รัน) ที่สแตนด์ของประธานาธิบดี สามารถ ย้าย เข้าออก ยังมิติของจักรวาลอื่น ที่คล้ายกับมิติของเราได้ เป็นอนันต์ และยังสามารถเปลี่ยนตัวเองที่กำลังจะตาย โดยการมอบสแตนด์ของตนเอง ให้กับคนที่เหมือนกับตนเองแต่อยู่ในมิติอื่น หรือจักรวาลอื่นนั่นเอง ได้ไม่จำกัด สรุปว่า สแตนด์ของประธานาธิบดีในเรื่องนี้ สามารถเข้าออกมิติที่ 9 ได้อย่างอิสระ เสรีนั่นเอง

        ต่อมาก็เป็นมิติที่ 10 : นักวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่าเป็นมิติสุดท้าย  แต่อาจจะคงไม่ใช่ถ้าเราเชื่อคำว่าอนันต์ หมายความว่าไม่สิ้นสุด แต่คงจะไม่ขอกล่าวมาถึงมิตินี้ ก็ไกลเกินที่จะฝัน แล้ว ถ้าอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็สามารถเลือกดูหนัง ประเภทนี้ได้ คงจะมองภาพออกและเข้าใจด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น  

            เพราะมันไม่รู้จบจริง ๆ  คงจะหมายความว่า เป็นมิติแห่งภูมสวรรค์ ที่เราเข้าใจกันนั้นแหละ อธิบายไม่รู้จบ เพราะ อธิบายแค่ว่า มีจุดอนันต์ จำนวนมากมายไม่สิ้นสุด และเราสามารถเดินทางไปยังจุดอนันต์ใด ๆ ก็ได้  เพราะจุดอนันต์ทั้งหมดรวมลงมาเป็นจุดเดียว

            เรื่องราวนั้น แม้จะวกไปมา หรือก้าวหน้า ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ พรรดึก วิจิตรพิสดาร ตระการตา ของโลกวิทยาศาสตร์ เพียงใด เหมือนจะเข้าใกล้เมืองสวรรค์ที่ชาวพุทธเข้าใจมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าแม้โลกวิทยาศาสตร์จะสุดพิเศษ ก้าวหน้าเพียงใดคงเทียบชั้นกับโลกสวรรค์นั้นคงไม่ได้ หลายเรื่องหลายประการ ถ้าท่านไม่เชื่อและอยากรู้ ลองศึกษาเรื่อง ไตรภูมิในพุทธศาสนา ตามเนื้อหาทางทฤษฏี และมาทดลองศึกษา ทำสมาธิควบคู่กันไป ตามแนวทางที่เกจิอาจารย์ท่านแนะนำ

-----------------------------

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น