วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

 อนาคตมนุษย์ ยุคมิคสัญญี

            ในตำนาน ของมนุษย์ของคติชาวพุทธ ตามความหมายของคำว่า มิคสัญญี ที่ได้เล่ากันมา มิคสัญญี เป็นชื่อเรียกยุคสมัยที่มนุษย์มีโครงสร้างทางจิตใจตกต่ำเสื่อม ทรามที่สุด เพราะ มิคะ แปลว่า เนื้อ ทราย, กวาง, เก้ง, สมัน และสัตว์ชนิด ต่าง ๆเหล่านั้น ต้อง เป็นสัตว์ที่ต้องเป็นเหยื่อ หรือเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ ขนาดใหญ่กว่า หรือความหมายอีกอย่าง ว่า สัตว์ตัวเล็กกว่า ต้องเป็นอาหารของสัตว์ตัวใหญ่ และที่มีกำลังมากกว่านั้นเอง

            และ สัญญี แปลว่า รู้หมายได้จำ เมื่อรวมความเป็นมิคสัญญี ท่านว่า ให้หมายถึง สมัยที่มนุษย์ได้นำมนุษย์ด้วยกันมาปรุงเป็นอาหารจานโปรด นำเนื้อมนุษย์ ด้วยกัน มากิน เพื่อบำรุงท้องแห่งตัณหาของตนนั้นแล


            โลกครั้งในอดีต แล้วล่วงมาถึงยุค หลังกึ่งพุทธกาลแห่งองค์มหาศาสดาสมณโคดมเป็นต้นมา นั้นมนุษย์ต่างก็มีจิตใจหยาบช้า วิปริต  ผิดวิสัย ความเป็นมนุษย์ธรรมดา พวกเขา ล้วนแต่ ตั้งหน้า สะสมความโลภ กอบโกยกดขี่ขูดรีดกันเอง ก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพง ผู้คนเห็นผิด เป็นชอบ เห็นเลวเป็นดี เห็นสิ่งที่ชอบว่าเป็นสิ่งผิด ผู้คนต่างนิยมยกย่อง เงินตรา ยศ ตำแหน่งอันจอมปลอม ทั้งยังศรัทธาแต่วัตถุ  หลงเทคโนโลยีที่ผิด ๆ ที่ทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม  ทั้งทำลายความเป็นมนุษย์ในตัว กัดกร่อนยางอายจนไม่มีเหลือ ผู้หญิงก็ถือสิทธิจนไม่สนใจวัฒนธรรมอันดีงาม ประพฤติตนยั่วชาย มากชู้หลายผัว ปล่อยตัว ปล่อยใจ เสียตัวตั้งแต่อายุยังน้อย

 

            เมื่อความโลภ ในจิตมนุษย์มากล้น จนบรรลุถึงขั้นสูง มนุษย์ผู้มีกำลังและเทคโนโลยีชั้นสูงก็ถืออาวุธข่มขู่ คุกคามมนุษย์ที่ด้อยกำลังกว่า  ก่อสงครามรุกราน แย่งชิงทรัพยากรจากมนุษย์ผู้ด้อยกำลังนั้น มนุษย์ผู้ด้อยกำลังสู้ไม่ได้ ก็ต่อสู้ด้วยวิธีลอบโจมตี กลายเป็นสงครามกองโจรกระจายไปทั่วโลก สงครามร้อนระอุทุก ขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

            โจรผู้ร้าย ก็ชุกชุม ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปราบปราม ก็ไม่สนใจเพราะมัวใช้วิชาชีพไปรับใช้คนรวย ไปหาทรัพย์ ใช้หน้าที่การงาน ไปรับใช้  ประจบสอพลอผู้มีอำนาจ วาสนา จนละทิ้งหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

            นี้คือยุคเสื่อม ในสังคมมนุษย์ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยพุทธกาลของมหาศาสดา สมณโคดมได้ เลยเข้าสู่  3,000 ปี โลกก็จะเกิดวิปริต พืชพันธุ์  ที่มนุษย์บริโภคได้ ต่างสูญพันธุ์ไปสิ้น มนุษย์ต้อง กินต้นหญ้าใบหญ้าแทนข้าว ร่างกายจึงไม่สมบูรณ์ รูปร่างแคระแกรนลง  ส่วนอายุขัย วัยของมนุษย์ ก็จะเริ่มสั้นลง ไปเรื่อย อายุก็สั้นลงเหลือเพียง 10 ปี มนุษย์ยุคนี้ จะอายุเพียง 5 ขวบก็สามารถแต่งงานอยู่กินกันได้


            จนกาลเวลา ล่วงได้ถึง 4,500 ปี ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ ต่างสาบสูญไปสิ้น ไม่มีใครรู้จักคำว่าศาสนา คนยุคนั้น มีชีวิตไม่ต่างกับสัตว์ทั่วไป ต่างก็ยอมรับเชื่อถือ ผู้ที่มีกำลัง มีอาวุธ  คนที่ไม่พวก มีกำลัง ผู้คนทั่วไป ในยุคนั้น ต่างก็มีจิตใจที่หยาบช้า หยาบคาย นิยม ทารุณ ทำร้ายกันได้ทันที หากพอใจจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ทันที โดยที่รู้สึกว่าไม่ต่างจากฆ่าเป็ดฆ่าไก่สักตัวเท่านั้น เราเรียก ยุคนี้ว่า ยุคมิคสัญญี หรือ นึกว่าเนื้อ คือฆ่าคนสักคน ก็มีความรู้สึกแค่ฆ่าสัตว์สักตัวเท่านั้น

            จนเวลา ลุล่วงจนถึง 5,000 ปี มนุษย์ต่างก็สะสมอาวุธ เพื่อป้องกันตนเอง แก้ปัญหาชีวิตด้วยกำลังหนัก ๆ เข้า ผู้มีอาวุธ ต่างพากันก่อสงคราม เพื่อความเป็นใหญ่บนโลกแต่เพียงผู้เดียว ในยุคนี้ ทุกประเทศต่าง ก็มีอาวุธร้ายแรงไว้ครอบครอง โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์จะมีไว้ครอบครองกันทั้งสิ้น

            มนุษย์ต่างก็แย่งชิงทรัพยากรอันจำกัดนั้น สงครามจึงเกิดขึ้น ในที่สุด ความขัดแย้งมากมายจึงเกิดขึ้น สงครามที่ดุเดือดและโหดร้ายถูกมนุษย์ก่อขึ้น อย่างรุนแรงที่สุด แห่งยุคนั้นอีกครั้ง แผ่นดินทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วย ความเร้าร้อย การเข่นฆ่ากันมากมายทุกพื้นที่ บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยห่าฝน อาวุธทั้งจรวด ระเบิด ลูกกระสุนปืน ที่ทุกฝ่ายระดมยิงเข้าใส่กันอย่างเมามันส์

            สงครามมหาหฤโหด ได้ดำเนินไปเป็นเวลานาน จนกำลังพล คนของแต่ละฝ่าย บาดเจ็บ พิการและล้มตายจนเกลื่อนแผ่นดิน แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และสงบลงได้ มนุษย์เริ่มขาดแคลนทุกอย่างทั้งอาหาร และน้ำดื่ม มนุษย์ต่างก็ ต้องดื่ม กินน้ำในแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือดจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน  เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่นานโรคร้ายก็ระบาดอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตมนุษย์ให้ล้มตายลงโดยไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเยียวยา

            ต่อมา เมื่อถึงจุดสุดท้ายของสงคราม มนุษย์ต่างใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือจนหมด เหลือเพียงอาวุธชิ้นสุดท้ายคืออาวุธนิวเคลียร์ ทุกประเทศต่างกดปุ่มยิงอาวุธนิวเคลียร์ของตนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้าม  ดังนั้นบนท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์ ที่เกิดจากอำนาจนิวเคลียร์เป็นร้อยเป็นพันลูก

            ความร้อนแรงเทียบเท่าดวงอาทิตย์ของลูกไฟนิวเคลียร์ ได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้จนเป็นฝุ่น เป็นผงไปในพริบตา แม้มหาสมุทรยังแห้งขอดด้วยอำนาจของอาวุธนิวเคลียร  นั้นคือการอวสานของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้

            นั้นคือ อนาคตของมนุษย์ ในยุคหน้า ในยุคมิคสัญญี นับว่าเป็นวัฏจักร วกวน กลับไปมา ของสรรพสิ่งบนโลก และจักรวาล  ที่เป็นไปตามความจริงที่องค์พุทธะ ทุกพระองค์ได้กล่าวถึง ว่า เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้ว ก็ดับไป จะเร็วหรือช้า ก็อยู่ที่จิต สั่งการของมนุษย์ นั้นเอง 

            ในยุคมิคสัญญี นั้นจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ใช่ยุคที่มนุษย์มีจิตใจเสมอสัตว์ หากแต่ยิ่งกว่าสัตว์  เลวต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์ทุกประเภทที่จักรวาลมี  เพราะชีวิตสัตว์ นั้นก็แค่ดิ้นรนเอาตัวรอดและแสวงหาผลประโยชน์โดยใช้ความจำและสัญชาตญาณของตนเองเท่านั้น

            แต่มนุษย์สร้างสรรค์ สติปัญญาให้เป็นเครื่องมือของสัญชาตญาณ คือเอาสัญชาตญาณนำปัญญา มาสร้าง อันตรายชั่วร้าย ได้มากกว่าสัตว์ ซึ่งสัญชาตญาณที่ว่านี้ ตามหลักจิตวิทยาฝ่ายพุทธท่านว่าเป็น “ของเสีย” ที่เกิดมาจาก “การหมักดอง” ของกองขยะ ๔ กองเหตุการณ์ด้วยกันมี กามาสวะ (หมักจากกาม) ,ภวาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าต้องมีต้องเป็น) , ทิฏฐาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าตนรู้ตนเห็น), และกองขยะที่สำคัญที่สุด ในกระบวนการหมักขั้นสุดท้าย คือ อวิชชาสวะ…การหมักไว้ซึ่ง “ความรู้ที่ตนเองไม่ได้พิสูจน์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์เฉพาะตน”

            โบราณท่านเล่าไว้ อันว่ายุคมิคสัญญีนี้ มนุษย์ผู้หญิงเพียงมีอายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ก็ถูกกระทำให้มีสามีแล้ว และ มนุษย์ผู้ชายก็ย่อมแก่งแย่ง หมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องกามารมณ์นี้ การกระทำการทุกอย่าง ก็เพื่อให้ได้มาอย่างว่า มนุษย์จะไม่ยอมให้สติปัญญา แก้ปัญหา พวกเขาถูกสัญชาตญาณฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ มนุษย์ ที่ยังมีศีลธรรม ในดวงจิต ย่อมทนอยู่ในสังคมนั้น ๆ ได้ยาก  และลำบากมาก

            มนุษย์ ที่ยังพอมีศีลธรรมเหล่านั้น มองเห็นภัย จะพยายามปลีกตัว หนีออกจากสังคมมนุษย์ หนีไปอยู่โดดเดี่ยว ดำรงตนเหมือนฤษีชีไพรในตำนาน กลายเป็นโยคีทะเลทราย (เพราะป่าไม่มี)  กลายเป็นดาบสในป่าคอนกรีตไป พวกนี้แหละที่ถูกกดดัน ให้ต้องแสวงหาวิวัฒนาการ ระบบโครงสร้างของจิตใจขึ้นมาใหม่

 

            ช่วงที่มนุษย์ผู้หญิง อายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ถูกกระทำให้มีสามีแล้วกลับมีมนุษย์ใช้จริยธรรมนำปัญญาสร้างคุณภาพชีวิตกระทั่งวิวัฒนาการอายุขัยของมนุษย์ ให้ยืดออก ไปจนนับได้ถึง ๑ อสงไขยปีแล้วกลับตกต่ำลงมาคืนหา ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ อีก โบราณท่านเรียกช่วงคลื่น ความถี่ของเหตุการณ์

            ช่วงอย่างนี้ว่า “๑ อันตรากัป” และมิคสัญญี ก็คือจุดที่ต่ำสุด ภาษาอังกฤษ จึงใช้คำว่า Minimum  ของคลื่นความถี่ต่ำ แห่งอันตรายกัปนี้  ข้อความ ทั้งหมด เรื่องการเกิดสงครามล้างโลก เรื่องนี้ ได้อ้างอิง มาจากพุทธทำนายที่ปรากฎในพระไตรปิฎก คัมภีร์พระสูตร ขุทฺทกนิกายฺ  มชฺฌิมวคฺค

            ดังเรา ก็จะเห็นว่า เรื่องของสงครามล้างโลก นั้น ทุกศาสนา ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ ต่างก็ยอมรับ ดัง จะ ปรากฎในคัมภีร์ของทุกศาสนา รวมทั้งศาสดาองค์ใหม่ของโลก ที่เราเรียกว่าพระศรีอาริยะเมตตรัยนั้น ก็เชื่อ และกล่าวถึงสงครามเช่นเดียวกัน ส่วนใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ เรียกว่า พระเมษโปฎก

            สังคมมนุษย์ ทั่วโลกเริ่มเป็นจริงหรือไม่ท่านผู้มีปัญญา คงทราบด้วยตนเอง ผู้นำทางจิตวิญญาณของทุกศาสนา  ไม่ว่า จะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม  ต่างก็กล่าวเตือน ย้ำเตือน กันอยู่เสมอและบ่อยครั้ง ของอนาคต ของมนุษย์ ที่ห่างจากศีลธรรม  การกล่าวนั้น ก็หวังกระตุ้นเตือนสติ มนุษย์เสมอมา ว่าอย่าประมาท โดยเฉพาะ ในเรื่องของพุทธทำนาย   ของชาวพุทธนั้น  ทุกเรื่องที่ยกมากล่าว ถึงนั้น ล้วนเกิดปรากฏเป็นจริงทุกประการแล้วในยุคปัจจุบัน  และยังมีอีกหลายข้อที่มีลาง ว่าจะเกิดจริง

            ทั้งหมดนี้ คือ ความวิบัติ ความคิดอุบาทว์ วิปริต ที่ก่อเกิดในจิตของมนุษย์  จนตนเอง ทายาท ของตน สังคม เมือง สังคมโลก  ต่างก็วุ่นวายเกิดขึ้น กันทุกหย่อมหญ้า ทุกตารางนิ้วของผิวโลก เหตุเพราะจิตใจคนถอยห่างจากศีลธรรม  มีพฤติกรรมเลว ตำตม ยิ่งกว่าสัตว์ นั้นเอง

            มนุษย์ หญิง ชาย เป็นผู้หลงระเริง สนุกสนานกับการทำลายศีลธรรม ในช่วงอายุขัย อันน้อยนิดแห่งตน  แล้วย่อมตายไป ตกนรก   รับทุกข์ทรมาน อย่างสาสม แล้วได้สิทธิ์ กลับมาเกิดในยุคมิคสัญญี ในยุคอนาคต  เพื่อให้เขาฆ่าเล่นอีกหลายยก จนกว่าจะตายด้วยพิษภัย แห่งสงคราม ไปในที่สุด

            ส่วนมนุษย์ผู้ไม่ประมาท หมั่นรักษาศีล เจริญจิต  เจริญภาวนา มีเมตตา ดำรงตนในเมตตาธรรม รักษาวัฒนธรรม อันดี ที่ไม่เดือดร้อน ทั้งตนและคนอื่น เมื่อตายจากชาตินี้ จะได้ไปสู่ภพที่ดี ถ้าได้สิทธิ์มาเกิดบนโลกนี้ จะต้องเลย ช่วงเวลายุคมิคสัญญี ไปก่อน แล้วจึง จะกลับมาเกิดใหม่ ในดินแดนใหม่ ที่บูรณะใหม่ แห่งยุคศรีอาริยะ โดยไม่ต้อง  มารับรู้ ผ่านยุคลำเค็ญต่าง ๆ ดั่งที่กล่าวมา

----------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น