วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

 อนาคตมนุษย์ ยุคมิคสัญญี

            ในตำนาน ของมนุษย์ของคติชาวพุทธ ตามความหมายของคำว่า มิคสัญญี ที่ได้เล่ากันมา มิคสัญญี เป็นชื่อเรียกยุคสมัยที่มนุษย์มีโครงสร้างทางจิตใจตกต่ำเสื่อม ทรามที่สุด เพราะ มิคะ แปลว่า เนื้อ ทราย, กวาง, เก้ง, สมัน และสัตว์ชนิด ต่าง ๆเหล่านั้น ต้อง เป็นสัตว์ที่ต้องเป็นเหยื่อ หรือเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ ขนาดใหญ่กว่า หรือความหมายอีกอย่าง ว่า สัตว์ตัวเล็กกว่า ต้องเป็นอาหารของสัตว์ตัวใหญ่ และที่มีกำลังมากกว่านั้นเอง

            และ สัญญี แปลว่า รู้หมายได้จำ เมื่อรวมความเป็นมิคสัญญี ท่านว่า ให้หมายถึง สมัยที่มนุษย์ได้นำมนุษย์ด้วยกันมาปรุงเป็นอาหารจานโปรด นำเนื้อมนุษย์ ด้วยกัน มากิน เพื่อบำรุงท้องแห่งตัณหาของตนนั้นแล


            โลกครั้งในอดีต แล้วล่วงมาถึงยุค หลังกึ่งพุทธกาลแห่งองค์มหาศาสดาสมณโคดมเป็นต้นมา นั้นมนุษย์ต่างก็มีจิตใจหยาบช้า วิปริต  ผิดวิสัย ความเป็นมนุษย์ธรรมดา พวกเขา ล้วนแต่ ตั้งหน้า สะสมความโลภ กอบโกยกดขี่ขูดรีดกันเอง ก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพง ผู้คนเห็นผิด เป็นชอบ เห็นเลวเป็นดี เห็นสิ่งที่ชอบว่าเป็นสิ่งผิด ผู้คนต่างนิยมยกย่อง เงินตรา ยศ ตำแหน่งอันจอมปลอม ทั้งยังศรัทธาแต่วัตถุ  หลงเทคโนโลยีที่ผิด ๆ ที่ทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม  ทั้งทำลายความเป็นมนุษย์ในตัว กัดกร่อนยางอายจนไม่มีเหลือ ผู้หญิงก็ถือสิทธิจนไม่สนใจวัฒนธรรมอันดีงาม ประพฤติตนยั่วชาย มากชู้หลายผัว ปล่อยตัว ปล่อยใจ เสียตัวตั้งแต่อายุยังน้อย

 

            เมื่อความโลภ ในจิตมนุษย์มากล้น จนบรรลุถึงขั้นสูง มนุษย์ผู้มีกำลังและเทคโนโลยีชั้นสูงก็ถืออาวุธข่มขู่ คุกคามมนุษย์ที่ด้อยกำลังกว่า  ก่อสงครามรุกราน แย่งชิงทรัพยากรจากมนุษย์ผู้ด้อยกำลังนั้น มนุษย์ผู้ด้อยกำลังสู้ไม่ได้ ก็ต่อสู้ด้วยวิธีลอบโจมตี กลายเป็นสงครามกองโจรกระจายไปทั่วโลก สงครามร้อนระอุทุก ขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

            โจรผู้ร้าย ก็ชุกชุม ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปราบปราม ก็ไม่สนใจเพราะมัวใช้วิชาชีพไปรับใช้คนรวย ไปหาทรัพย์ ใช้หน้าที่การงาน ไปรับใช้  ประจบสอพลอผู้มีอำนาจ วาสนา จนละทิ้งหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

            นี้คือยุคเสื่อม ในสังคมมนุษย์ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยพุทธกาลของมหาศาสดา สมณโคดมได้ เลยเข้าสู่  3,000 ปี โลกก็จะเกิดวิปริต พืชพันธุ์  ที่มนุษย์บริโภคได้ ต่างสูญพันธุ์ไปสิ้น มนุษย์ต้อง กินต้นหญ้าใบหญ้าแทนข้าว ร่างกายจึงไม่สมบูรณ์ รูปร่างแคระแกรนลง  ส่วนอายุขัย วัยของมนุษย์ ก็จะเริ่มสั้นลง ไปเรื่อย อายุก็สั้นลงเหลือเพียง 10 ปี มนุษย์ยุคนี้ จะอายุเพียง 5 ขวบก็สามารถแต่งงานอยู่กินกันได้


            จนกาลเวลา ล่วงได้ถึง 4,500 ปี ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ ต่างสาบสูญไปสิ้น ไม่มีใครรู้จักคำว่าศาสนา คนยุคนั้น มีชีวิตไม่ต่างกับสัตว์ทั่วไป ต่างก็ยอมรับเชื่อถือ ผู้ที่มีกำลัง มีอาวุธ  คนที่ไม่พวก มีกำลัง ผู้คนทั่วไป ในยุคนั้น ต่างก็มีจิตใจที่หยาบช้า หยาบคาย นิยม ทารุณ ทำร้ายกันได้ทันที หากพอใจจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ทันที โดยที่รู้สึกว่าไม่ต่างจากฆ่าเป็ดฆ่าไก่สักตัวเท่านั้น เราเรียก ยุคนี้ว่า ยุคมิคสัญญี หรือ นึกว่าเนื้อ คือฆ่าคนสักคน ก็มีความรู้สึกแค่ฆ่าสัตว์สักตัวเท่านั้น

            จนเวลา ลุล่วงจนถึง 5,000 ปี มนุษย์ต่างก็สะสมอาวุธ เพื่อป้องกันตนเอง แก้ปัญหาชีวิตด้วยกำลังหนัก ๆ เข้า ผู้มีอาวุธ ต่างพากันก่อสงคราม เพื่อความเป็นใหญ่บนโลกแต่เพียงผู้เดียว ในยุคนี้ ทุกประเทศต่าง ก็มีอาวุธร้ายแรงไว้ครอบครอง โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์จะมีไว้ครอบครองกันทั้งสิ้น

            มนุษย์ต่างก็แย่งชิงทรัพยากรอันจำกัดนั้น สงครามจึงเกิดขึ้น ในที่สุด ความขัดแย้งมากมายจึงเกิดขึ้น สงครามที่ดุเดือดและโหดร้ายถูกมนุษย์ก่อขึ้น อย่างรุนแรงที่สุด แห่งยุคนั้นอีกครั้ง แผ่นดินทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วย ความเร้าร้อย การเข่นฆ่ากันมากมายทุกพื้นที่ บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยห่าฝน อาวุธทั้งจรวด ระเบิด ลูกกระสุนปืน ที่ทุกฝ่ายระดมยิงเข้าใส่กันอย่างเมามันส์

            สงครามมหาหฤโหด ได้ดำเนินไปเป็นเวลานาน จนกำลังพล คนของแต่ละฝ่าย บาดเจ็บ พิการและล้มตายจนเกลื่อนแผ่นดิน แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และสงบลงได้ มนุษย์เริ่มขาดแคลนทุกอย่างทั้งอาหาร และน้ำดื่ม มนุษย์ต่างก็ ต้องดื่ม กินน้ำในแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือดจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน  เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่นานโรคร้ายก็ระบาดอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตมนุษย์ให้ล้มตายลงโดยไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเยียวยา

            ต่อมา เมื่อถึงจุดสุดท้ายของสงคราม มนุษย์ต่างใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือจนหมด เหลือเพียงอาวุธชิ้นสุดท้ายคืออาวุธนิวเคลียร์ ทุกประเทศต่างกดปุ่มยิงอาวุธนิวเคลียร์ของตนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้าม  ดังนั้นบนท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์ ที่เกิดจากอำนาจนิวเคลียร์เป็นร้อยเป็นพันลูก

            ความร้อนแรงเทียบเท่าดวงอาทิตย์ของลูกไฟนิวเคลียร์ ได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้จนเป็นฝุ่น เป็นผงไปในพริบตา แม้มหาสมุทรยังแห้งขอดด้วยอำนาจของอาวุธนิวเคลียร  นั้นคือการอวสานของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้

            นั้นคือ อนาคตของมนุษย์ ในยุคหน้า ในยุคมิคสัญญี นับว่าเป็นวัฏจักร วกวน กลับไปมา ของสรรพสิ่งบนโลก และจักรวาล  ที่เป็นไปตามความจริงที่องค์พุทธะ ทุกพระองค์ได้กล่าวถึง ว่า เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้ว ก็ดับไป จะเร็วหรือช้า ก็อยู่ที่จิต สั่งการของมนุษย์ นั้นเอง 

            ในยุคมิคสัญญี นั้นจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ใช่ยุคที่มนุษย์มีจิตใจเสมอสัตว์ หากแต่ยิ่งกว่าสัตว์  เลวต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์ทุกประเภทที่จักรวาลมี  เพราะชีวิตสัตว์ นั้นก็แค่ดิ้นรนเอาตัวรอดและแสวงหาผลประโยชน์โดยใช้ความจำและสัญชาตญาณของตนเองเท่านั้น

            แต่มนุษย์สร้างสรรค์ สติปัญญาให้เป็นเครื่องมือของสัญชาตญาณ คือเอาสัญชาตญาณนำปัญญา มาสร้าง อันตรายชั่วร้าย ได้มากกว่าสัตว์ ซึ่งสัญชาตญาณที่ว่านี้ ตามหลักจิตวิทยาฝ่ายพุทธท่านว่าเป็น “ของเสีย” ที่เกิดมาจาก “การหมักดอง” ของกองขยะ ๔ กองเหตุการณ์ด้วยกันมี กามาสวะ (หมักจากกาม) ,ภวาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าต้องมีต้องเป็น) , ทิฏฐาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าตนรู้ตนเห็น), และกองขยะที่สำคัญที่สุด ในกระบวนการหมักขั้นสุดท้าย คือ อวิชชาสวะ…การหมักไว้ซึ่ง “ความรู้ที่ตนเองไม่ได้พิสูจน์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์เฉพาะตน”

            โบราณท่านเล่าไว้ อันว่ายุคมิคสัญญีนี้ มนุษย์ผู้หญิงเพียงมีอายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ก็ถูกกระทำให้มีสามีแล้ว และ มนุษย์ผู้ชายก็ย่อมแก่งแย่ง หมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องกามารมณ์นี้ การกระทำการทุกอย่าง ก็เพื่อให้ได้มาอย่างว่า มนุษย์จะไม่ยอมให้สติปัญญา แก้ปัญหา พวกเขาถูกสัญชาตญาณฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ มนุษย์ ที่ยังมีศีลธรรม ในดวงจิต ย่อมทนอยู่ในสังคมนั้น ๆ ได้ยาก  และลำบากมาก

            มนุษย์ ที่ยังพอมีศีลธรรมเหล่านั้น มองเห็นภัย จะพยายามปลีกตัว หนีออกจากสังคมมนุษย์ หนีไปอยู่โดดเดี่ยว ดำรงตนเหมือนฤษีชีไพรในตำนาน กลายเป็นโยคีทะเลทราย (เพราะป่าไม่มี)  กลายเป็นดาบสในป่าคอนกรีตไป พวกนี้แหละที่ถูกกดดัน ให้ต้องแสวงหาวิวัฒนาการ ระบบโครงสร้างของจิตใจขึ้นมาใหม่

 

            ช่วงที่มนุษย์ผู้หญิง อายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ถูกกระทำให้มีสามีแล้วกลับมีมนุษย์ใช้จริยธรรมนำปัญญาสร้างคุณภาพชีวิตกระทั่งวิวัฒนาการอายุขัยของมนุษย์ ให้ยืดออก ไปจนนับได้ถึง ๑ อสงไขยปีแล้วกลับตกต่ำลงมาคืนหา ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ อีก โบราณท่านเรียกช่วงคลื่น ความถี่ของเหตุการณ์

            ช่วงอย่างนี้ว่า “๑ อันตรากัป” และมิคสัญญี ก็คือจุดที่ต่ำสุด ภาษาอังกฤษ จึงใช้คำว่า Minimum  ของคลื่นความถี่ต่ำ แห่งอันตรายกัปนี้  ข้อความ ทั้งหมด เรื่องการเกิดสงครามล้างโลก เรื่องนี้ ได้อ้างอิง มาจากพุทธทำนายที่ปรากฎในพระไตรปิฎก คัมภีร์พระสูตร ขุทฺทกนิกายฺ  มชฺฌิมวคฺค

            ดังเรา ก็จะเห็นว่า เรื่องของสงครามล้างโลก นั้น ทุกศาสนา ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ ต่างก็ยอมรับ ดัง จะ ปรากฎในคัมภีร์ของทุกศาสนา รวมทั้งศาสดาองค์ใหม่ของโลก ที่เราเรียกว่าพระศรีอาริยะเมตตรัยนั้น ก็เชื่อ และกล่าวถึงสงครามเช่นเดียวกัน ส่วนใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ เรียกว่า พระเมษโปฎก

            สังคมมนุษย์ ทั่วโลกเริ่มเป็นจริงหรือไม่ท่านผู้มีปัญญา คงทราบด้วยตนเอง ผู้นำทางจิตวิญญาณของทุกศาสนา  ไม่ว่า จะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม  ต่างก็กล่าวเตือน ย้ำเตือน กันอยู่เสมอและบ่อยครั้ง ของอนาคต ของมนุษย์ ที่ห่างจากศีลธรรม  การกล่าวนั้น ก็หวังกระตุ้นเตือนสติ มนุษย์เสมอมา ว่าอย่าประมาท โดยเฉพาะ ในเรื่องของพุทธทำนาย   ของชาวพุทธนั้น  ทุกเรื่องที่ยกมากล่าว ถึงนั้น ล้วนเกิดปรากฏเป็นจริงทุกประการแล้วในยุคปัจจุบัน  และยังมีอีกหลายข้อที่มีลาง ว่าจะเกิดจริง

            ทั้งหมดนี้ คือ ความวิบัติ ความคิดอุบาทว์ วิปริต ที่ก่อเกิดในจิตของมนุษย์  จนตนเอง ทายาท ของตน สังคม เมือง สังคมโลก  ต่างก็วุ่นวายเกิดขึ้น กันทุกหย่อมหญ้า ทุกตารางนิ้วของผิวโลก เหตุเพราะจิตใจคนถอยห่างจากศีลธรรม  มีพฤติกรรมเลว ตำตม ยิ่งกว่าสัตว์ นั้นเอง

            มนุษย์ หญิง ชาย เป็นผู้หลงระเริง สนุกสนานกับการทำลายศีลธรรม ในช่วงอายุขัย อันน้อยนิดแห่งตน  แล้วย่อมตายไป ตกนรก   รับทุกข์ทรมาน อย่างสาสม แล้วได้สิทธิ์ กลับมาเกิดในยุคมิคสัญญี ในยุคอนาคต  เพื่อให้เขาฆ่าเล่นอีกหลายยก จนกว่าจะตายด้วยพิษภัย แห่งสงคราม ไปในที่สุด

            ส่วนมนุษย์ผู้ไม่ประมาท หมั่นรักษาศีล เจริญจิต  เจริญภาวนา มีเมตตา ดำรงตนในเมตตาธรรม รักษาวัฒนธรรม อันดี ที่ไม่เดือดร้อน ทั้งตนและคนอื่น เมื่อตายจากชาตินี้ จะได้ไปสู่ภพที่ดี ถ้าได้สิทธิ์มาเกิดบนโลกนี้ จะต้องเลย ช่วงเวลายุคมิคสัญญี ไปก่อน แล้วจึง จะกลับมาเกิดใหม่ ในดินแดนใหม่ ที่บูรณะใหม่ แห่งยุคศรีอาริยะ โดยไม่ต้อง  มารับรู้ ผ่านยุคลำเค็ญต่าง ๆ ดั่งที่กล่าวมา

----------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

 

คุณไม่เปลี่ยน โลกเปลี่ยนคุณ 

            ในปัจจุบันมีการกล่าวถึง  การพัฒนาจิต ไปสู่ มิติที่ 5  กันอยู่บ่อยครั้ง หลายท่านที่กำลัง งง  งง กับคำว่ามิตินี้ เรามาหาความหมาย ไปพร้อม ๆ กัน   ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสรรพสิ่งในโลก และจักรวาล นั้น ทุกอย่างที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น ด้วยขีดจำกัด บางอย่างที่ยากแก่การหยั่งรู้ นั้น  มันก็เริ่มจากจุด หนึ่งจุด แล้วมันก็ขายายออกมาอีกหลายจุด  ดังนั้น คำว่า มิติ หรือ Dimension มีความหมาย อย่างง่าย ๆ ว่า การวัดระยะจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หมายความว่า ต่อไปว่าในโลกและจักรวาล รวมถึงดาวดาวทุกดวงที่เรารู้และไม่รู้ก็ตามจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนกันที่เราเรียกว่า เป็นมิติ เป็นการวัดระยะจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง  ที่กล่าวมาข้างต้น




            ในความหมายของคำว่ามิติ  นี้ ท่านผู้รู้ได้แนะนำไว้ว่า มีด้วยกันถึง 10 มิติ  ส่วนมิติที่หนึ่ง ถึงมิติที่สามนั้น  มนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว  ปัจจุบัน กล่าวกันว่าเรากำลังอยู่ในมิติที่สี่ และกำลังจะกล่าวข้ามไปสู่มิติที่ ห้า ที่กล่าวถึงกันมากตอนนี้ และกำลัง งง งง กันอยู่ตรง นี้ หวังว่าท่านที่ตามไม่ทันก็คงจะพอเข้าใจกันขึ้นมาแล้วบ้างในคำว่ามิติ

การจะเข้าใจมิติที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วก่อนครับ

            มิติแรก เรียกว่า มิติที่ 0 : คือ จุด  เป็นมิติเริ่มต้น ของการเกิดสรรพสิ่ง หมายความว่าเป็นจุด คือสรรพสิ่ง เป็นแค่จุด หรือศูนย์ ไม่มีระยะ ใด ๆ   ต่อมาโลกเริ่ม ขยายมาสู่ มิติที่หนึ่ง   มิติที่ 1: หมายถึง เส้น ถ้าเทียบได้ ก็จากจุดหนึ่งไป ยังอีกจุดหนึ่ง  หมายความว่าวัตถุจะขยายขนาด จากจุดมาเป็นเส้น

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 2 : มิติที่ 2  หมายถึง บนโลกจะเริ่ม เกิดวัตถุ แบบเป็นเส้นสองเส้น (นึกถึงรูปตัว Y) (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่มีตัวเลือก 2 ทาง) หรือ นึกถึงกระดาษ บางมากๆ 1 แผ่น ที่ไม่มีความหนา

            มิติที่ 3: หมายถึง เส้นสองเส้น (รูปตัว Y) แต่ตัว Y นี้อยู่บนกระดาษ และเราสามารถพับกระดาษให้หัวตัว Y มาชนกัน ทำให้ระยะที่เคยวัดจากตัว Y ปกติเปลี่ยนไป นึกถึงมดที่เดินอยู่บนขาตัว Y ด้านซ้าย แล้วพอพับกระดาษมาชน ก็สามารถไปยังขาตัว Y ด้านขวาได้ทันที หรือนึกถึง ตัวเรา ที่อาศัยอยู่ในโลกที่มีความกว้าง ยาว และมีความสูง ถ้าเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพก็คือมนุษย์ยุคหิน ประมาณนั้น

            มิติที่ 4: หมายถึง เวลา  เป็นมิติที่ซับซ้อนมากขึ้น ในโลก  ซึ่ง ไอน์สไตน์ เป็นคนแรกที่นำเสนอแนวคิดนี้ว่า สถานที่และเวลา มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็น กาลอวกาศ หรือ Space-time สถานที่ ไม่อาจแยกจากเวลาได้ และเวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ โดยวัตถุใด ๆ ยิ่งเคลื่อนที่ ได้เร็วเท่าไหร่ เวลายิ่งเดินช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราเข้าใจว่า เวลาเป็นเหมือนระยะอย่างหนึ่งแล้ว เราจะมองได้ว่า การที่เรานั้น เดินทางจากจุดที่เราเป็นเด็ก จนถึงจุดที่เราแก่ได้นั้น เป็นเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น ระยะของมิติที่ 4 คือ การเดินทางของเวลา จากอดีต มาสู่ปัจจุบันนั่นเอง

            ส่วนคำว่า มิติ ในทางฟิสิกส์  อาจจะหมายถึง dimension ซึ่งโลกที่เราอยู่ ในปัจจุบัน ที่สัมผัสได้มี 4 มิติอยู่แล้ว  ตามความหมายว่า เพราะสรรสิ่งในโลกปัจจุบันนี้  มีวัตถุ  ที่ประกอบไปด้วย  ความกว้าง ความยาว ความลึก และเวลา ส่วนทฤษฎีสตริง และ ซุเปอร์สตริง  กล่าวว่า มีสิบมิติ  พวกมิติทั้ง 10 หรือ 10+1 เป็นการขดม้วนของมิติพิเศษเข้ามาเป็นโครงสร้าง 3 มิติ + เวลา อีกทีหนึ่ง สำหรับมิติในศัพท์ที่คนทั่วไปใช้ ควรหมายถึง โลกขนานมากกว่า  ซึ่งก็เป็นภาษาวิทยาศาสตร์คนทั่วไปจะเข้าใจยากสักหน่อย

            โลกขนานเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ ในลักษณะการเกิดของจักรวาลแบบ Multiverse คำว่าเป็นไปได้ หมายความว่า ไม่มีกฎทางวิทยาศาสตร์อะไร จะไปห้ามไม่ให้มันมี แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานจะบอกว่ามันมี โลกขนานในทาง Multiverse มันอาจเป็นจักรวาลที่มีกฎทางฟิสิกส์เป็นของตัวเอง ค่าคงที่ของจักรวาลต่างๆอาจต่างไปจากเรา และอาจไม่มีทางที่จะเกิดสรรพสิ่งไป จนเกิดสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราเพราะ อนุภาคมูลฐานต่าง ๆ  นั้นมันไม่เสถียร เพียงพอ ที่จะก่อตัวเป็นอะตอม หรือมันอาจมีคำตอบอื่นของการเกิดของชีวิตข้อมูล หรือพลังงานที่ไม่ใช้โครงสร้างเคมี อย่างสิ่งมีชีวิตในจักรวาลของเรานี้ก็เป็นได้

            ต่อมาก็เป็นมิติที่ ห้า ที่มนุษย์ยุคนี้ได้กล่าวถึงกันมาก มิติที่ 5: หมายถึง โอกาส โดย ถ้าเราเข้าใจมิติที่ 4 ว่า เวลา มีลักษณะเป็น เส้น ที่ลากจากอดีต มาสู่ อนาคต และเราเข้าใจว่า มิติที่ 2 คือ ตัว Y นั้น

            มิติที่ 5 ก็หมายความว่า เราในปัจจุบันนี้ อาจจะเดินทางไปยัง ขา Y ด้านซ้าย หรือ ขา Y ด้านขวา ก็ได้ หมายความว่า ตัวเราในปัจจุบัน จะเป็นอะไรในอนาคตก็ได้ เช่น ในตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจจะฝัน ว่า อยากจะเป็น นักบินอวกาศ หรือ หมอ หรือ พ่อค้า หรือ ชาวนา ก็ได้ หมายความว่า จะมีการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทั้งยังสร้างวัตถุ ที่อาศัยเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น มีคุณภาพขนาด คล้ายกับการจิตนาการ ในความฝัน ที่เกิดเป็นจริง ได้ สามารถสัมผัสใช้งานได้จริงนั้นเอง

            มิติที่ 6: หมายถึง เราสามารถพับ ให้ขา Y ด้านบน  หมายถึง หรือตัวเราตอนแก่ ให้ มาเจอ มาบรรจบ กับ ขา Y ด้านล่าง คือ เราตอนเราเป็นเด็กได้  ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราพบมิติที่ 6 ได้จริง และเป็นจริง ในทางปฏิบัติ จริง ๆ ได้เมื่อไหร่  เราจะสามารถย้อนเวลาไปยังอดีต หรือ เดินทางไปในอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันที ทันใด ชนิดที่เรียกว่า เร็วกว่าแสง คือ เมื่อเราพับ space-time ได้  จริง

            เมื่อถึงเวลานั้น จริง เราอาจพบโดราเอมอน แม่นาค พระโขนง หรือยักษ์ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ ได้ที่เดียว สำหรับมิติที่ 6 นี้ ถ้าเราสนใจว่าเป็นอย่างไร  ก็นึกถึงหนัง ในโลกอนาคต ได้หลายเรื่องเลย แต่ที่ขอแนะนำคือ Man in Black ภาคล่าสุด ที่มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว ที่พอถอดหมวกออกมา มีหัวกลวง ๆ สีฟ้า และมีความสามารถพิเศษคือ สามารถเข้าออกมิติที่ 6 ได้อย่างอิสระ และมีตอนหนึ่งในหนัง ที่บอกว่า ชาย คนนี้ สามารถอยู่ได้ทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อม ๆ กัน และสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ของอนาคต ได้ทุกรูปแบบ ซึ่งตอนดูหนังก็ยังงง ๆ  เพิ่งมาเข้าใจตอนดูคลิปอธิบายเรื่องมิตินี้ เอง มันเจ๋งเอามากๆ

            มิติที่ 7: จะเข้าใจมิติที่ 7 ได้ ต้องเข้าใจจุดของมิติที่ 7 ก่อน คือ การที่เรามองสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่าง จักรวาลทั้งจักรวาล เป็นเหมือนจุด ๆ หนึ่ง ซึ่งจุดนี้ รวมความเป็นได้ของจักรวาลของเราที่ควรจะเป็นทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิด บิ๊กแบก จนถึง จุดจบของจักรวาลที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบ ซึ่งจุดนี้ ก็หมายถึง อนันต์ นั่นเอง ทีนี้ องค์ประกอบอีกอย่างของมิติที่ 7 ก็คือต้องมีอีก จุด (อนันต์) อีกจุดหนึ่ง

            ซึ่งแตกต่างจากจุดแรกโดยสิ้นเชิง หรือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากจักรวาลของเรา โดยสิ้นเชิง คือ แตกต่างทั้ง จุดกำเนิดจักรวาล และโอกาสการเกิดจุดจบของจักรวาลนี้ทุกรูปแบบ แน่นอนว่า รวมถึงกฎฟิสิกส์ต่าง ๆ ในจักรวาลนี้ก็แตกต่างจากเราด้วย ทีนี้เส้นเชื่อมจุดสองจุดนี้ ก็เหมือนกับว่า เราสามารถเดินทางจากจุด (อนันต์) จุดอนันต์ หมายถึงจุดที่ไม่รู้จบ หมายความว่ามันยาวและไกลมาก จนเราแทนความหมายว่า อนันต์ หรือ จักรวาลของเรา ไปยังอีกจุดอนันต์หนึ่ง (อีกจักรวาลหนึ่ง) ได้นั่นเอง หมายความง่าย ๆ ว่า พอถึงยุคมิติที่ 7 นั้น เราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลกันไป มาได้แล้ว

            ต่อมาก็เป็น มิติที่ 8:   มิติที่ 8  คือ แทนที่จะมี จุดอนันต์ แค่ 2 จุด (หรือ 2 จักรวาลนั่นเอง สมมุติว่าเป็นจักรวาล A และอีกจักรวาล B) ก็มีจุดอนันต์ เพิ่มมาอีก 1 จุด (อีก 1 จักรวาล สมมุติว่าเป็น จักรวาล C ที่แตกต่างจากอีก 2 จักรวาลแรกโดยสิ้นเชิง) และเราก็สามารถเลือกที่จะเดินทางได้ว่า จากจักรวาล A ของเรา  จะเดินทางไปยัง จักรวาล B หรือ จักรวาล C ก็ได้  หมายความว่าการเดินทางจะข้ามไปอีกมิติจักรวาลอื่นได้อีก

            และ มาถึง มิติที่เก้า มิติที่ 9 : น่าจะยิ่งมันส์มากขึ้น ตามลำดับ เราและท่านไปเป็นอากาศอยู่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้  เพราะนอกจากเราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ แบบไม่มีขีดจำกัดได้แล้ว เรายังสามารถพับ ให้จักรวาลทั้ง สองจักรวาล หรือ 3 จักรวาล มาอยู่ในจุดเดียวกัน ทำให้เราสามารถว๊าป จากจักรวาลหนึ่ง ไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ทันที

            ตอนนี้เราอาจนึกถึง การ์ตูน ประกอบ  เรื่อง โจโจ ล่าข้ามศวรรตษ ภาคที่แล้วมากๆ (ภาค สตีล บอล รัน) ที่สแตนด์ของประธานาธิบดี สามารถ ย้าย เข้าออก ยังมิติของจักรวาลอื่น ที่คล้ายกับมิติของเราได้ เป็นอนันต์ และยังสามารถเปลี่ยนตัวเองที่กำลังจะตาย โดยการมอบสแตนด์ของตนเอง ให้กับคนที่เหมือนกับตนเองแต่อยู่ในมิติอื่น หรือจักรวาลอื่นนั่นเอง ได้ไม่จำกัด สรุปว่า สแตนด์ของประธานาธิบดีในเรื่องนี้ สามารถเข้าออกมิติที่ 9 ได้อย่างอิสระ เสรีนั่นเอง

        ต่อมาก็เป็นมิติที่ 10 : นักวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่าเป็นมิติสุดท้าย  แต่อาจจะคงไม่ใช่ถ้าเราเชื่อคำว่าอนันต์ หมายความว่าไม่สิ้นสุด แต่คงจะไม่ขอกล่าวมาถึงมิตินี้ ก็ไกลเกินที่จะฝัน แล้ว ถ้าอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็สามารถเลือกดูหนัง ประเภทนี้ได้ คงจะมองภาพออกและเข้าใจด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น  

            เพราะมันไม่รู้จบจริง ๆ  คงจะหมายความว่า เป็นมิติแห่งภูมสวรรค์ ที่เราเข้าใจกันนั้นแหละ อธิบายไม่รู้จบ เพราะ อธิบายแค่ว่า มีจุดอนันต์ จำนวนมากมายไม่สิ้นสุด และเราสามารถเดินทางไปยังจุดอนันต์ใด ๆ ก็ได้  เพราะจุดอนันต์ทั้งหมดรวมลงมาเป็นจุดเดียว

            เรื่องราวนั้น แม้จะวกไปมา หรือก้าวหน้า ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ พรรดึก วิจิตรพิสดาร ตระการตา ของโลกวิทยาศาสตร์ เพียงใด เหมือนจะเข้าใกล้เมืองสวรรค์ที่ชาวพุทธเข้าใจมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าแม้โลกวิทยาศาสตร์จะสุดพิเศษ ก้าวหน้าเพียงใดคงเทียบชั้นกับโลกสวรรค์นั้นคงไม่ได้ หลายเรื่องหลายประการ ถ้าท่านไม่เชื่อและอยากรู้ ลองศึกษาเรื่อง ไตรภูมิในพุทธศาสนา ตามเนื้อหาทางทฤษฏี และมาทดลองศึกษา ทำสมาธิควบคู่กันไป ตามแนวทางที่เกจิอาจารย์ท่านแนะนำ

-----------------------------

 

 

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

 

นิทานปลุกตื่นรู้ ภัยพิบัติล้างบาปมนุษย์ ครั้งใหญ่ 

            นิทานมายา เรื่องนี้ แจ้งให้รู้...ถือว่าเป็นหนึ่งในแผนงาน  สับขาหลอกสาวกพญามาร ในยุคสงครามดำกับขาวนี้ แม้ในระดับจักรวาล สงครามมารกับเทพ ก็ยังดำเนินอยู่  ในความหมาย คำว่าเท็จ ในจริง และจริงในเท็จ ส่วนสาวกขององค์พุทธะ ที่เดินตามรอย และศึกษาธรรม ทั้งปริยัติ และปฏิบัติ ด้วยตนเอง ไปสู่แห่งการตื่นรู้  ตามแนวทางแห่งองค์พุทธะที่แท้จริงนั้น คงทราบว่าควรจะทิ้งอะไร ควรเก็บอะไร ในนิทานแต่ละเรื่อง



             ไม่บังคับให้ผู้ใดเชื่อ...ไม่โทษใครที่ปรามาสว่า วิปราด เป็นคนบ้า แต่ถ้าใครอยากปลอดภัยจากภัยพิบัติล้างโลกช่วง  ในปี พ.ศ.  ต้องตั้งหมั่นอยู่ในกรอบของศีลธรรม แห่งตน ที่ตนนับถือว่าดีงามแล้ว ทั้ง ผู้ที่ยังจิตอ่อนยังไม่ ตื่นรู้ภายในด้วยตนเอง  ต้องรีบหา เหรียญมาบูชา เพื่อความมั่นใจในจิตตน  ที่แนะนำ ตามนิทาน ในเรื่องนี้ คือเหรียญ สามร่มโพธิ์ศรี มหาบรมจักพรรดิไว้คล้องคอ หรือบูชา เผื่อมีโอกาส รอดปลอดภัย ร่ำรวย มีความสุข หรือสวด โอม มนี ปัฐฐเม พุทธัง จงบังเกิด ธัมมัง จงบังเกิด สังฆัง จงบังเกิด เปิดบุญ เปิดทรัพย์ เปิดโลกอรหันต์นิพพาน นะโม ตะโป ยาจา ถะ

            นับวันอากาศโลกร้อนขึ้นทุกปี ชนิดที่มนุษย์โลกยุคนี้ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน และ การเปลี่ยนแปลง เริ่มขึ้นมานานแล้ว  ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โลกจะมีอากาศ ร้อนแบบสุด ๆ น้ำทะเลละเหย จนกลายเป็นไอ มีจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดลมพายุ หมุน พัดพาไอน้ำจากท้องทะเลมาตกเป็นฝน จนท่วมแผ่นดิน ในทุกประเทศทั่วโลก อย่างหนัก

            จะเกิดแผ่นดินยุบ ถล่มทั่วโลก นี้คือ การพิพากษากรรม ของสัตว์โลก ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป ของพระเจ้าแห่งมหาจักวาล ผ่านมายังพระศรีอริยะ มาถึงพระยาธรรมิกราช ที่เป็นคลื่นพลังของพระเจ้ามหาบรมจักรพรรดิ ที่กำลังมาชำระล้างมนุษย์ และล้างโลก เพื่อปรับ ความสมดุลของธรรมชาติ ทั้งปรับคลื่นพลังงานใหม่ ไหลเข้าสู่มิติที่ 5 ใครไม่พร้อม ก็คงมอดม้วยมระณา

            เมื่อธรรมชาติวิบัติ สิ่งมีชีวิตบน โลกจะเกิดภัยพิบัติ จากดิน น้ำ ไฟ ลม และเกิดโรคร้ายแรง โรคระบาด หลายสายพันธุ์  ระบาดอย่างหนัก ไม่มียารักษา มีแต่ยาทางใจ และทางธรรมชาติเท่านั้น พระเจ้าแห่งมหาจักวาลทรงเร่ง ให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติเกิด  ทั้งเจ้ากรรมนายเวร ก็ขอเวลาชำระ เอาคืนกับนายเวร ของตน เทพเจ้าก็ให้สิทธิ์นั้น ต้องชำระกัน

            หนักขึ้น ๆ ก็ขยายไปทั่วโลก เพื่อทำลายมนุษย์ที่ประพฤติชั่ว และเป็นประเทศตัวแทนของคลื่นเทพฝ่ายพระยามารได้แก่ ประเทศ จีน ไต้หวัน เกาหลี ฟิลิปปินส์ ทวีปอเมริกา รัสเซีย จีน ทวีปยุโรปและกลุ่มประเทศอาหรับ ฯลฯ ให้ล่มสลายจมทะเล ภัยพิบัติล้างโลกครั้งใหญ่นี้ เพราะกรรมของมนุษย์โลกเป็นแบบนั้น ด้วยมนุษย์โลกยุคนี้มีนิสัย โหดร้ายเยี่ยงสัตว์ เดรัจฉาน มนุษย์ที่ประพฤติชั่วต้องถูกทำลายล้างให้ตาย ก่อนเข้าสู่ยุคใหม่ หรือเตรียมแผนงานของเทพเจ้าเข้าสู่ยุค มิติที่ 5  โดยใช้คลื่น กระแสพลังงาน ความถี่ใหม่ ของพลัง กระแสแห่ง พระศรีอารยะธรรมิกราช มหาบรมจักรพรรดิ ก่อนปี พ.ศ.  จะเกิดการล้างใหญ่ มนุษย์จงระวัง กายวาจาใจ ให้พร้อม ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้น  

            อีกไม่นาน ใน พ.ศ.เมืองใหญ่ ฯ ภาคกลาง  ภาคใต้ ทั้งหมด หรือบางส่วน จะจมลงใต้ท้องทะเลชั่วนิรันดร์กาล ผู้เชื่อให้รีบย้ายที่อยู่ใหม่ขึ้นเหนือ หรืออีสานตอนบนด่วนก่อนไม่ทันกาล ผู้รู้ให้แจ้งว่า หลังปี พ.ศ. ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองอย่างรุนแรง และหลัง พ.ศ.เป็นต้นไป ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจหรือได้เป็นศูนย์กลาง ความเจริญ และศาสนา แห่งโลก

            ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี รวมทั้ง จีน รัสเซีย อินเดีย ประเทศกลุ่มอาหรับ แอฟริกาบางส่วน ฯลฯ จะถูกทำลายให้ล่มจม เจ๊งทางเศรษฐกิจและภัยพิบัติเป็นเหตุทำให้ศูนย์การปกครองของโลก ต้องย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และมีเพชรบูรณ์เป็นเมืองศูนย์กลางศาสนาของโลก

            ซึ้งในยุคนั้น จะใช้คลื่นพลังงาน พระศรีอารธรรมิกราช หรือ คลื่นพระเจ้ามหาบรมจักรพรรดิ โดยทั่วโลกจะถูกจัด การปกครองใหม่ ด้วยพลังคลื่น ๓ ร่มโพธิ์ศรี มีอัญญาสิทธิ์ มีอัญญาธรรม คือ มีผู้รู้จริง รู้แจ้งทั้งทางโลก ทางธรรม บรรลุธรรม มีจิตเป็นอริยบุคคล เป็นผู้มีอัญญาสิทธิ์ใช้คลื่น พระเจ้ามหาบรมจักรพรรดิ เพราะเป็นผู้ได้รับคลื่น จาก พระศรีอารหรือพระศรีอารธรรมิกราช เข้ามาสวมกายใจ ได้เป็นผู้นำทั้งทางโลก ทางธรรม ก่อนจะถึงวันนั้น ช่วงปี พ.ศ.  จึงต้องระวัง หมั่นรักษาศีล อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี แห่งตน เพราะเป็นช่วงเวลาชำระล้าง และการทำบารมีธรรมร่วมกันระหว่าง ภพภูมิของเทพเทวดา พญานาค ครุฑ และภูมิมนุษย์

            ส่วนมนุษย์ผู้เป็นกายหยาบ จะถูกผลักปรับพลังงานใหม่ ซึ่งบางครั้งการทำงานจากภายใน ด้วยการล็อคคลื่น ระบบต่าง ๆ ด้วยพลังฌานและใช้คลื่นอาวุธวิเศษให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก ซึ่งการทำงานภายใน กำลังส่งผล ออกมาสู่ภายนอก แต่คนทั่วไปก็ยังไม่เข้าใจ ว่าประเทศไทยและโลกกำลังเกิดอะไรขึ้น

            มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเป็นเรื่องกรรมของสัตว์โลก แต่สิ่งที่มนุษย์มองเห็นด้วยตานั้น คือผลที่แสดงออกมาภายนอก แต่มนุษย์กลับพากันอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องการรู้แต่ภายนอก แต่ไม่รู้เรื่องภายในเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องกรรม เป็นเรื่องจิตวิญญาณ

            ซึ่งแท้จริงพวกนักวิทยาศาสตร์ ก็พยายามจะอธิบาย แต่พวกเขา อธิบายได้เฉพาะเหตุผลภายนอก เพราะพวกนักวิทยาศาสตร์ ไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม  ซึ่งเป็นเรื่องภายใน อันเป็นสาเหตุของปัญหาทุกข์ของมนุษย์ที่แท้จริง เพราะความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง มนุษย์จึงพากันประมาท  ปรามาสผู้รู้แจ้ง ปรามาสผู้ รู้จริง อย่างที่พยายามอธิบายมานี้ และขอแจ้งแก่มนุษย์ทุกคนให้รู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าอะไร กำลังจะเกิดขึ้นแก่คนไทย และมนุษย์ชาวโลก ให้รู้ว่าต่อไปอีกไม่นานก่อนปี


            นับตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๖๐ จะมี ผู้ปกครองประเทศ ที่ในใจมีศีล มีคุณธรรม เป็นผู้ใช้คลื่นพลัง ของพระเจ้าจักรพรรดิ  ท่านผู้นำกำลังบำเพ็ญคลื่นพลังฝ่ายขาว  ในไม่ช้าท่าน จะได้เป็นผู้ปกครองโลก ทั้งทางโลก และทางธรรม หรือจิตวิญญาณ  

            หมายความว่า  ท่านเป็นผู้ได้รับคลื่นโลกุตระธรรม ของพระเจ้าองค์ปฐม ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งมหาจักรวาล ในพระนามว่า พญาธรรมิกราช และได้รับคลื่นโลกียะธรรม เป็นโพธิญาณของพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ท่านเป็นผู้ที่ สวมกาย สวมใจ แห่งคุณธรรมความสว่าง เป็นแบบอย่างที่สันติสุข

            ทั้งเพราะ เป็นผู้ได้รับการฝึกปฏิบัติธรรม ตามวิธีปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าโคดม สายหลวงปู่มั่น ได้วิปัสสนาพิจารณาความเป็นจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปและนาม เพื่อยกกาย ใจให้สะอาด แข็งแรง และสามารถยกใจ ให้สงบ ใสสะอาด สว่าง เป็นผู้ชนะกิเลสในใจ เป็นอริยบุคคลได้สมบูรณ์

            และอีกไม่นาน เมื่อมนุษย์ ยกระดับจิตถึง มิติที่ 5 อย่างสมบูรณ์  ท่านนี้จะได้ทำหน้าที่คล้ายกับ "นายกรัฐมนตรี" แต่ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง ทั้งทางโลกและทางธรรมเพื่อค้ำชู เชิดชู ดูแล ชาติ และดูแล พระพุทธศาสนาให้มั่นคงตลอดไป

            โดย มีเหล่าบรรดา นักบุญระดับ อัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม คือ ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ตื่นรู้ ทั้งเรื่องโลกเรื่องทางธรรม เป็นจำนวนมากตามมาเกิด  เพื่อมาช่วยทำหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานคนไทยจะได้เห็นว่าของจริงนั้นว่าเป็นอย่างไร  ปัจจุบัน ท่านเหล่านั้นกำลังบำเพ็ญบารมีธรรม และเป็นผู้ได้รับคลื่นเทพ เทวดา นาค ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์ ฤาษี มุนี ดาบส ฯลฯ สวมกาย สวมใจ เรียบร้อยแล้ว

            เพราะถูกใช้ให้มาและถูกใช้เป็นร่างกายหยาบของพวกเหล่าเทพ เทวดา ที่ลงมาช่วยเหลือมนุษย์โลก  เพื่อให้เป็นร่างกายหยาบมาทำหน้าที่แทนคลื่นต่าง ๆ ฝ่ายขาว บนโลกมนุษย์ ในยุคใช้คลื่นพระศรีอารธรรมิกราชปกครอง ทั้งทางโลก และทางธรรม

            ซึ่ง พระพุทธเจ้าโคดม ทรงเรียกว่า เป็นยุค ของพระเจ้าจักรพรรดิ หรือเป็นยุคที่ผู้ปกครองต้องประกอบด้วย คุณศีล คุณธรรม มีบุญวุฒิ คุณวุฒิ วัยวุฒิ จิตใจมีความรัก รักแบบไม่มีเงื่อนไข มีจิต มีพฤติกรรม เอื้อเฟื้อ แบ่งปันอย่าง พอดี เหมาะสม ถูกต้อง เสมอภาคเป็นกลาง เป็นธรรมและยุติธรรม

            เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในยุคกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ปัจจุบันเกิดแล้ว แต่ยังไม่ปรากฏ เพราะ  เพราะต้องปล่อยให้พวกมาร ซาตาน แสดงบทรายให้เต็มที่ จนหมดบุญของ พวกเขาก่อน แล้วจะอ่อนแรง จนทำลายตนเองไปในที่สุด

            ในยุคของพระพุทธเจ้า ทุก ๆ  พระองค์ นั้น จะเป็นพุทธประเพณี และนี้ ทุกยุค มนุษย์ยุคนี้ เกิดมามีประสบการณ์ แค่ไม่ถึง 90 ปี  จะรู้โลก รู้จักรวาล เท่าทันจิตอนันต์ อมตะของผู้ฝึกจิต มาดี แล้ว ได้อย่างไร

            บัดนี้ถึงเวลา  ครบรอบที่จะเปลี่ยน ยุค จะมีสิ่งที่มนุษย์ไม่เคนเห็นนั้นมากมาย  เพื่อสร้างความคุ้นชิน ให้แก่มนุษย์ จึงใช้คำว่านิทาน มาเล่าสู่กันฟัง  ท่านนักบุญที่มีหน้าที่อาสา มากอบกู้โลก จากความทุกข์เข็ญ นั้นจะใช้คลื่นพญาธรรมิกราช หรือ ยุคใช้คลื่น พระเจ้าจักรพรรดิ ที่จะเกิดขึ้นในยุคกึ่งกลางพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าโคดม ปัจจุบันได้มีผู้ ทำทานบารมีจนได้พร ๘ ประการจากพระอินทร์

            เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ นั้น ก็แสดงว่า ยุคพญาธรรมิกราช หรือพระเจ้าจักพรรดิ นั้นเข้ามาใกล้ถึงปลายจมูก ของมนุษย์ยุคนี้แล้ว   จึงมีกระแส และการกล่าวถึง คำว่า มิติที่ 5 หรือคำว่า การตื่นรู้ หรือเรื่องราวของมนุษย์ ต่างดาว โน้นนี้นั้น มากมาย ให้ชาวโลกยุคนี้ได้ยินบ่อยครั้ง  ใครที่คิดจะสร้างกรรมดี ทำบุญทำกุศลอะไร  ก็ให้รีบเร่งทำก่อนการชำระล้าง กาย ชำระจิตของตนเร็วไว้  หรือจะเร่งสร้างกรรม แบบกอบโกย เสวยสุข ตักตวง ทรัพย์สิน เงินตรา ของมายา ก็รีบทำ ตามกรรมแห่งตน

            เพราะอีกไม่นานเกินรอ การเปลี่ยนครั้งใหญ่ใกล้เขามา  มนุษย์ ล้างสัตว์โลก ครั้งใหญ่ ช่วงปี

พ.ศ. ที่ผ่านมา  มีผู้ที่ ได้รับพร ๘ ประการ จากพระอินทร์ ได้ทำการอธิษฐานบารมีธรรมเพื่อมาดูแลพระศาสนา และได้ทำการพิพากษากรรมสัตว์โลก ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๕๔๘ ถึง กลางปี พ.ศ.๒๕๕๔ แล้ว

            ดังนั้น ระบบกายหยาบ ของคลื่นพระศรีอาร จะทำหน้าที่ภายใน และระบบภายในจะทำงานไปตามลำดับ  ดังนั้น โลกจะเร่งชำระกรรม ดังมนุษย์จะได้เห็นภัยพิบัติ น้อยใหญ่เกิดขึ้น บ่อยครั้ง เพื่อมาล้างมนุษย์ ล้างโลก แล้วมนุษย์จะนึกถึงคุณค่าของเหรียญ ๓ ร่มโพธิ์ศรีมหาบรมจักรพรรดิและ คุณศีล ๕ คุณศีล ๘ นึกถึงคุณค่าของการปฏิบัติธรรมที่แต่ละท่านได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติสั่งสมมาเพราะ ประมาณกลางเดือน มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖ แกนขั้วสนามแม่เหล็กโลกจะหมุนย้อนกลับทิศทางการหมุนปกติของโลกจะเป็นเหตุทำให้แกนโลกหมุนกลับ พลิกทิศทาง เรียกว่าโลกหมุนพลิกกลับขั้วโลก

            เมื่อถึงเวลา โลกหมุนพลิกกลับขั้วโลก คนทั่วโลกจะมองเห็น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และเกิดฟ้าผ่า เสียงดังกัมปนาท ดังขนาดตึกถล่ม แผ่นดินทลาย ทำให้พวกกระเทย ตุ๊ด ทอมดี้ ตายทั้งโลก ก่อนใคร เพราะพวกนี้เป็นคลื่นขยะ ที่ต้องถูกล้างก่อนใคร ก็แค่นิทาน อย่างกังวล หาเหตุผล ว่าบ้า

            เมื่อ โลกหมุนพลิกกลับ สลักขั้วโลก จะทำให้เกิดแผ่นดิน โลกสั่นสะเทือนไหวทั้งใบ เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มโลก เพื่อทำให้แผ่นดินประเทศตัวแทนคลื่นฝ่ายดำ ของพระยามาร ให้จมลงใต้ท้องทะเลตลอดกาล

            เพื่อทำให้คนชั่วเสียชีวิต เหลือไว้แต่คนคิดดี ทำดี พูดดี มีใจเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเห็นอก เห็นใจมนุษย์โลกด้วยกันเท่านั้น มนุษย์โลกที่รอดชีวิต จะได้เข้าสู่ยุคใช้คลื่นใหม่ จะทำให้มนุษย์ยุคใหม่มีนิสัยดี มีใจที่ดีงาม มีอายุที่ยืนยาว เจริญขึ้น ทายาทมนุษย์ยุคใหม่ เริ่มตั้งแต่ อายุขัย ๑๐๐ ปี ถึง ๒๐๐ ปี ไปตามลำดับ

            ทั้งยัง มีอารยธรรมเจริญก้าวหน้า ทั้งทางด้านวัตถุ  เทคโนโลยี ระดับจักรวาล ทั้งยังมีใจงดงาม เป็นมนุษย์ยุคใช้คลื่นพลังงานใหม่ จะได้เข้าปฏิบัติธรรม ได้เข้าสู่กระแสพระนิพาน มากขึ้น ตามกำลังใจของตน ตั้งแต่  ระดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี  และอรหันต์ ตามบุญบารมีธรรมของแต่ละคน

            เพราะคลื่นพระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ หรือพระศรีอารธรรมิกราช จะลงมาสวมกายมนุษย์ผู้ถูกใช้เป็นกายหยาบ มาเปิดเผย ข่าวและทำงานแทนพระองค์ นำร่องก่อน เพื่อปลอบประโลมขวัญ ให้กำลังใจกับมวลมนุษยชาติ ที่มีความบอบช้ำทางใจ

            ซึ่งขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ใสสว่าง เรียกว่าโพธิญาณมีฤทธิ์เดชมาก  ท่านได้ลงมาสวมในใจสวมกายของมนุษย์แล้ว กายหยาบ นั้นเป็นผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่แทนพระองค์บนโลกมนุษย์

             ซึ่งท่าน กำลังเป็นผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอยู่ในพุทธศาสนาที่ประเทศไทย ต่อไปผู้เป็นกายหยาบของคลื่นพระศรีอารหรือพระศรีอารธรรมิกราช นี้ เมื่อบารีเต็ม แผนงานเบื้องบนพร้อม เหมาะสม ฟ้าดินพร้อมโลกจะเริ่มเปลี่ยนทันที ต้องมาปกครองประเทศไทย ทั้งทางโลก และทางธรรมด้วยมีอาญาธรรม มีอาญาฤทธิ์ มีอาญาสิทธิ์ ใช้คลื่นอาวุธวิเศษพิพากษากรรมสัตว์โลก และใช้เพิ่มบุญ ล้างบาป ล้างกรรม และใช้ล็อคคลื่นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกรรมสัตว์โลก

            คำเตือน...........ถ้าบุคคลใดไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่เชื่อคำสอนของศาสดาจะทำให้ผู้นั้น เกิดความเดือดร้อน สุดๆ เกิดการทะเลาะ รบฆ่ากันตาย น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ อดอยาก ยากจน เป็นหนี้สิน นอนไม่หลับ ผัวเมียแตกแยก หย่าร้างกัน เป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย ตาย เพราะมนุษย์โลกยุคนี้มีคนประพฤติชั่ว ๓ ใน ๔ ส่วน มีคนดีเพียง แค่ ๑ ส่วน  เท่านั้น

            ดังนั้น โลกใบนี้ จึงขาดความสมดุล จึงไม่สมดุล มนุษย์และสัตว์โลกที่ประพฤติชั่วมีใจโหดร้าย มีมากมาย จึงต้องถูกพิพากษากรรม เพื่อทำลายล้าง เกิดภัยสารพัด ทำให้ตายไป เพื่อปรับให้โลกเกิดความสมดุล ก่อน จะเข้าสู่ยุคใช้คลื่นใหม่ไม่เกินปลายปี  พ.ศ. นิทานเรื่องนี้ ก็เล่ามาหลายปี แต่ก็ยังไม่เกิดแบบพลิกขั้ว  มนุษย์บาปจึงปรามาส ได้ใจว่าไม่จริง จริงใช้คำว่านิทาน

            ทั้งวันเวลา การเกิดภัยครั้งใหญ่ อาจเลื่อนออกไป อีกเล็กน้อย ก็ด้วยเหตุผลที่เบื้องบนเมตตา  รอเวลาให้มนุษย์ชั่วบางคน บางกลุ่ม บางพวก หันมากลับตัวกลับใจ และในที่สุดก็ต้องถึงเวลา ไม่มียกเลิก คนประพฤติชั่วจะถูกชำระล้างให้ตาย ด้วยภัยพิบัติธรรมชาติ ล้างโลกด้วยฝนตกหนัก น้ำท่วมทั้งโลก เกิดลมพายุหมุนพัดกระหน่ำ เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มทั่วโลกมนุษย์จะเหลือรอดตายเฉพาะคนใจบุญ เหลือรอดเฉพาะคนที่ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของศาสนาเท่านั้น การชำระล้างมนุษย์โลกครั้งนี้จะเกิดตอนเย็น หรือ เกิดตอนกลางคืน ในฤดูหนาวในเร็ว ๆ  นี้

            เพราะบัดนี้ คลื่นพระศรีอารธรรมิกราชได้ทรงนำบำเหน็จ คือ บุญอันเป็นความสุขกาย สุขใจ มาให้คนประพฤติดี ปฏิบัติชอบทุกคน และ นำความทุกข์ทรมาน ทั้ง กายใจมาให้คนชั่วทุกคน ทั้งโลกตั้งแต่บัดนี้ไป

            ขอแจ้งโองการว่า.....คนใจบาปหยาบช้าทั้งหลายจะต้องถูกล้างผลาญให้ตายจากโลกหลังปี พ.ศ. เพราะพระศรีอารเป็นคลื่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้ลงมายังโลกมนุษย์แล้ว เพื่อลงมาชำระล้างโลกล้างมนุษย์ที่ประพฤติชั่ว เมื่อถึงวันล้างเสร็จ.....มีบ้านก็ไม่มีคนอยู่ มีข้าวก็ไม่มีคนกิน มีถนนหนทางก็ไม่มีคนเดิน

            เพราะมนุษย์ประพฤติชั่วต้องตายเกือบหมดโลกเหลือไว้เฉพาะคนใจบุญ หลังปี พ.ศ.มนุษย์จึงเหลือน้อย ถ้าผู้ใดเชื่อก็ให้เร่งเคารพกราบไหว้บูชา คลื่น ๓ ร่มโพธิ์ศรี ให้รีบบูชาเหรียญ ๓ ร่มโพธิ์ศรีมหาบรมจักรพรรดิเอาไว้ บูชาหรือใช้คล้องคอ เพื่อคุ้มกันภัย ได้รอดปลอดภัย ร่ำรวย มีความสุข

พระคาถาบูชา 3 ร่มโพธิ์ศรีมหาบรมจักรพรรดิ

          คำสวดภาวนาบูชาขอความสำเร็จสมปรารถนา ขอคลื่นบารมีธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม พระพุทธเจ้าโคดม พระศรีอริยเมตไตรยโพธิ์สัตว์ และขอพร ขอความสำเร็จในชีวิตจากพระศรีอารธรรมิกราชมหาบรมจักรพรรดิ

๑.ให้ภาวนาระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐม พระนามพญาธรรมิกราช ผู้เป็นพระเจ้าแห่งมหาจักรวาล หรือพระพุทธเจ้าโคดมและพระศรีอริยเมตไตรยโพธิ์สัตว์ (ให้ภาวนาดังนี้) ให้ตั้ง นะโม 3จบ

            พุทธัง จงบังเกิด ธัมมัง จงบังเกิด สังฆัง จงบังเกิด เปิดบุญเปิดทรัพย์ เปิดโลกพระอรหันต์ โลกพระนิพพาน นะโม ตะโป ยาจาถะ   อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ โอมมนี ปัฐฐเมฮุม ภูมิเวสัปปุริสานัง กตัญญู กตะเวทิตา ชะยะตุภวังค์ สัพพะศัตรูวินาศสันติ

๒. สวดมนต์ ภาวนาระลึกนึกถึงบุญบารมีธรรม ของพระพุทธเจ้าโคดมให้ภาวนาว่า

            อะระหังสัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ  พุทธังอารธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง คัจฉามิ

๓.สวดมนต์ ภาวนาระลึกนึกถึงบารมีธรรม ของพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ให้ภาวนาว่า

โอมนี ปัฐฐเมฮุม นะโมโพธิสัตว์โต เมตตาศรีอาริยะเมตไตรโย นะโมพุทธายะ สาระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ

นะโมโพธิสัตว์โต เมตตาศรีอาริยะเมตไตรโย นะโมพุทธายะ สาระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ

            นะโมโพธิสัตว์โต เมตตาศรีอาริยะเมตไตรโย นะโมพุทธายะ สาระนัง คัจฉามิ

พระพุทธังเมตไตรย จงมาช่วยตัวข้าพเจ้าด้วย สังขาตังโลกังกะวิทู

พระธัมมังเมตไตรย จงมาช่วยตัวข้าพเจ้าด้วย สังขาตังโลกังกะวิทู

พระสังฆังเมตไตรย จงมาช่วยตัวข้าพเจ้าด้วย สังขาตังโลกังกะวิทู (กราบ ๕ ครั้ง)

            เมื่อสวด หรือกล่าว  จบก็กล่าวประทับ กำกับชื่อของตน ข้าพเจ้าชื่อ.....................นามสกุล.......................มีจิตศรัทธา มีความเชื่อเลื่อมใสในคลื่นบารมีธรรมของคลื่นสามร่มโพธิ์ศรี  เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอระลึกนึกถึงโพธิญาณ และคลื่นบุญบารมีธรรมของ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ในพระนามว่า พญาธรรมิกราช ผู้เป็นพระเจ้าแห่งมหาจักรวาล และโพธิญาณอันเป็นคลื่นบุญบารมีธรรม ของพระพุทธเจ้าโคดมผู้เป็นศาสดาเอกของโลก

            รวมทั้งโพธิญาณอันเป็นคลื่นบุญบารมีธรรม ของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ อันเป็นคลื่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของมหาเทพโพธิสัตว์ แห่งสุริยะจักวาลนี้

            ข้าพเจ้าจึงได้นำดอกไม้ ธูป เทียน แต่งเป็นขันธ์ ๕ มาขอพึ่ง ขอคลื่นกระแสบุญฤทธิ์ ขอคลื่นกระแสบุญบารมีธรรม ขอต่อคลื่นโพธิญาณ สามร่มโพธิ์ศรี ในนามคลื่นธรรมมิกราชโพธิญาณ อันเป็นคลื่นของพระเจ้ามหาบรมจักรพรรดิ  ในนามสมมุติว่า พระศรีอารธรรมิกราชมหาบรมจักรพรรดิ ได้โปรดประทานคลื่นกระแสแห่งศีล ประทานคลื่นกระแสแห่งธรรม อันเป็นคลื่นพลังสีขาว แห่งจักรวาล จากระบบสุริยะ เป็นกระแสบุญทิพย์ ได้โปรดประทานคลื่นกระแสบุญ ลงสู่ในใจให้ข้าพเจ้า ณ บัดนี้  เดี๋ยวนี้ ด้วยเทอญ

            ข้าพเจ้าขออธิษฐานจิต ว่าจะขอปฏิบัติตนด้วยการถือศีล ๖ ให้ควบคุมกาย วาจาและมี คุณธรรม ๖ ประการ ของคลื่นพระศรีอารธรรมมิกราชมหาบรมจักรพรรดิ จะหมั่นปฏิบัติธรรม ใส่เสื้อผ้าสีขาว นุ่งขาว ห่มขาว งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ที่ใช้เป็นแรงงาน ทั้งปวงและหมั่นเดินจงกรม นั่งสมาธิ หมั่นภาวนาความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของกายและใจเป็นประจำ

            หากข้าพเจ้าปฏิบัติตนได้ดังนี้แล้ว ขอให้พระองค์โปรดเมตตา ประทานผลให้ได้รับคลื่นบุญฤทธิ์เพื่อล้างบาปกรรม ล้างกิเลสในใจให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรม เข้ากระแสพระนิพพาน มีความสุขกายสุขใจ มีความเจริญในหน้าที่การงาน ในสิ่งที่ตั้งใจ ประสบความสำเร็จ สมความปรารถนาในชีวิต พ้นจากบาป พ้นเวรกรรม พ้นภัยอันตรายใด ๆ ทั้งปวงด้วยคลื่นบุญฤทธิ์และบารมีธรรม อันเป็นคลื่นกระแสทิพย์และคลื่นบุญฤทธิ์ของคลื่นพระศรีอารธรรมิกราช มหาบรมจักรพรรดิ จงดลบันดาลให้เกิดขึ้นตามคำอธิฐานจิตของข้าพเจ้าครั้งนี้ ขอให้สำเร็จสมปรารถนาทุกประการ โดยเร็วเทอญ ฯ

----------------------------------